|

ไวรัสตับอักเสบบี มีสาเหตุมาจากอะไร?

ไวรัสตับอักเสบบี เป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่ยังถูกพบจำนวนมาก ในประเทศไทย ซึ่งนำไปสู่โรคร้ายแรงต่อตับของร่างกาย ได้แก่ โรคมะเร็งตับ โรคตับแข็ง และโรคตับวาย เป็นต้น ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ทราบว่าตัวเองติดไวรัสตับอักเสบบีอยู่ เพราะไม่มีความรู้ความเข้าใจว่าโรคชนิดนี้มีสาเหตุมาจากอะไร โดยบทความนี้จะแสดงรายละเอียดถึงโรคไวรัสตับอักเสบบีทั้งหมด

รู้จักไวรัสตับอักเสบบี

โรคไวรัสตับอักเสบบี หรือภาษาอังกฤษว่า Hepatitis B virus : HBV เมื่อผู้ติดเชื้อได้รับไวรัสชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์ตับ การทำงานของตับเสื่อมลงเพราะเกิดพังผืดค่อยๆ เกาะหลายปี อันส่งผลให้มีภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และอาจกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด จากสถิติพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งตับร้อยละ 90 มีประวัติเคยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบมาก่อน

อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบี

ความเป็นจริง โรคไวรัสตับอักเสบบี ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะมีอาการแสดงออกมาให้เห็นชัดๆ หรือในบางรายจะเข้าสู่ระยะอาการแบบเฉียบพลันเท่านั้น และอาการส่วนใหญ่ที่สามารถสังเกตได้ คือ

  • มีไข้เล็กน้อย รู้สึกคลื่นไส้อาเจียน
  • ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม
  • ท้องเสีย ถ่ายเหลว เบื่ออาหาร
  • เจ็บบริเวณใต้ชายโครงด้านขวา
  • ปวดเมื่อย เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย

ประมาณ 10-20% ของคนที่ติดเชื้อไวรัสอักเสบบีจะหายจากโรคไปได้เอง เพราะภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล หากเข้าสู่ระยะเรื้อรังแล้ว

ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อกันอย่างไร

เชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะสามารถติดต่อกันผ่านทางเลือด และสารคัดหลั่งของมนุษย์เป็นหลัก การที่จะรู้ได้ว่าคุณติดเชื้อแล้วหรือไม่ จะต้องมีการเจาะเลือดตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีด้วยวิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • การตรวจ HBsAg เป็นการตรวจหาแอนติเจน (Antigen) ของไวรัสตับอักเสบบี เพื่อบ่งบอกถึงการติดเชื้อโดยตรง
  • การตรวจ HBeAg เป็นการตรวจหาระยะการแบ่งตัวของไวรัสตับอักเสบบี หากพบเชื้อจะหมายถึงผู้ติดเชื้อมีความเสี่ยง ที่จะแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้สูง
  • การตรวจ HBV-DNA ใช้ตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสตับอักเสบบีว่ามีจำนวนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งแพทย์จะนำไปวินิจฉัยในการรักษาร่วมด้วย
  • การตรวจ Anti-HBc ตรวจเพื่อค้นหาว่าคุณเคยติดไวรัสตับอักเสบบีมาก่อนหรือไม่ ด้วยการหาภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ตอบสนองต่อเชื้อ
  • การตรวจ Anti-HBs ตรวจเพื่อค้นหาว่าคุณมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ หรือใช้ตรวจสำหรับคนที่เคยฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีมาแล้ว

ความเสี่ยงเหล่านี้ อาจทำให้คุณติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี ได้

  • การใช้เข็มฉีดยา และของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
  • การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อโดยไม่สวมถุงยางอนามัย
  • การรับเลือดบริจาคที่ไม่ผ่านการคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี
  • ทารกน้อยที่คลอดจากครรภ์มารดาที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี
  • การเจาะหรือสักตามร่างกายกับอุปกรณ์ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อที่ถูกวิธี
  • บุคลากรทางการแพทย์ โดนเข็มที่มีเชื้อทิ่มตำ หรือมีดผ่าตัดมีเชื้อบาดมือ

ไวรัสตับอักเสบบี หายขาดหรือไม่

โรคนี้สามารถหายขาดได้ หากตรวจพบเชื้ออย่างรวดเร็ว หรืออยู่ในระยะอาการแบบเฉียบพลัน เฉลี่ยใช้เวลาในการรักษาประมาณ 3 เดือน แต่สำหรับในกลุ่มผู้ติดเชื้อที่มีระยะอาการตับอักเสบเรื้อรัง แพทย์จะต้องทำการตรวจวินิจฉัย และวางแผนในการรักษาอย่างรอบคอบต่อไป ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

ป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี

  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ทานอาหารที่ดีมีประโยชน์
  • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • ตรวจสุขภาพประจำปีและตรวจคัดกรองโรคที่เกี่ยวข้องกับตับปีละ 1 ครั้ง
  • ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี หากตรวจแล้วยังไม่มีภูมิ

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

วิธีป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบีได้อย่างเห็นผลมากที่สุด คือ การฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ต่อสู้กับเชื้อตัวนี้ได้ แพทย์จะแนะนำให้ทำการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสอักเสบบีตั้งแต่ตอนเป็นเด็กแรกเกิด อายุ 1-2 เดือน และ 6-18 เดือน โดยจะฉีดให้ทั้งหมดจำนวน 3 เข็มด้วยกัน ในวัยรุ่หรือวัยผู้ใหญ่ที่ยังไม่มีภูมิก็จำเป็นจะต้องฉีดจำนวนที่เท่ากันด้วย เมื่อฉีดวัคซีน ครบถ้วนตามเกณฑ์เรียบร้อยแล้ว ฤทธิ์ของวัคซีนจะมีประสิทธิผลในการป้องกันโรคสูงถึง 90-95 % เลยทีเดียว

ถึงแม้ว่า โรคไวรัสตับอักเสบบี จะเป็นโรคที่แฝงตัวอยู่ในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน แต่หากเราเข้าใจถึงต้นตอของการแพร่เชื้อ ก็จะช่วยป้องกันทั้งตัวคุณเอง และคนที่คุณรักไม่ให้เป็นโรคนี้ได้ หรือหากพบเชื้ออยู่ก่อนแล้วก็จะช่วยให้ได้ทำการรักษาทันที ลดโอกาสการเจ็บป่วย และลุกลามกลายเป็นโรคมะเร็ง เนื่องจากโรคไวรัสตับอักเสบบีสามารถหายขาดได้ ถ้ารู้ตัวตั้งแต่เนิ่นๆ ครับ

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Similar Posts

  • รักษาหูดข้าวสุก ด้วยตัวเอง ทำได้หรือไม่

    หลายคนสงสัยว่าการ รักษาหูดข้าวสุก นั้นสามารถทำได้ด้วยตัวเองจริงหรือเปล่า ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทำได้ยากเพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าติดเชื้อมาตอนไหน และลักษณะของตุ่มก็มีความคล้ายคลึงกับโรคผิวหนังชนิดอื่นด้วย หากคิดจะ รักษาหูดข้าวสุก ควรทำการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้โดยตรงจะดีที่สุด ซึ่งวันนี้ เราจะมาแนะนำเรื่องเกี่ยวกับการรักษาหูดข้าวสุกและการป้องกันที่คุณควรรู้เพื่อจะได้ห่างไกลจากโรคนี้ได้ครับ หูดข้าวสุก คือโรคอะไรกันแน่? โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Molluscum Contagiosum Virus : MCV (มอลลัสคุม คอนทาจิโอซุมไวรัส) เป็นเชื้อไวรัสที่อยู่ในกลุ่มพอกซ์ไวรัส (Poxvirus) ที่มักพบในบริเวณผิวหนังชั้นนอกเท่านั้น โดยจะแบ่งออกเป็นไวรัส MCV 4 ชนิดย่อย แต่ชนิดที่ 1 จะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดหูดข้าวสุกได้มากกว่า 95% แลไวรัสนี้ไม่มีผลต่อระบบภายในร่างกาย รวมไปถึงไม่แพร่กระจายโดยการจามหรือไอ ถือเป็นโรคผิวหนังที่สามารถติดต่อกันได้ในทุกเพศทุกวัย ซึ่งเชื้อจะเข้าไปในบริเวณผิวหนังที่เป็นแผล ลอก แตก จนทำให้เกิดตุ่มเนื้อ และมีรอยนูนขนาดเล็กทั่วร่างกาย แต่จะไม่ขึ้นตุ่มที่ฝ่ามือฝ่าเท้า เหมือนกับโรคซิฟิลิส และไม่ได้ส่งผลต่อระบบอวัยวะภายในมากนัก อาการของโรคหูดข้าวสุก ถึงแม้ว่า โรคนี้จะไม่ได้มีอาการที่รุนแรง แต่ทุกคนก็ควรได้รับการ รักษาหูดข้าวสุก ระยะฟักตัวตั้งแต่ได้รับเชื้อไวรัสนี้มาจะเกิดอาการประมาณ 14 วันขึ้นไป ถึง 6 เดือน โดยอาการที่อาจสังเกตพบได้ มีดังต่อไปนี้…

  • | | | | |

    Undetectable แล้วไม่ป้องกันได้ไหม ปลอดภัยจริงไหม?

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิด หรือ “U=U” ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแพทย์และสาธารณสุข โดยคำว่า “Undetectable” หมายถึงการที่ปริมาณไวรัส HIV ในเลือดของผู้ติดเชื้อลดต่ำจนไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยการทดสอบมาตรฐาน ซึ่งเกิดจากการที่ผู้ติดเชื้อได้รับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัส (ART) อย่างสม่ำเสมอ แนวคิด U=U เป็นที่ยอมรับทางวิทยาศาสตร์ว่า ผู้ที่มีปริมาณไวรัส HIV ต่ำจนตรวจไม่พบ ไม่สามารถแพร่เชื้อให้คู่นอนผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้ อย่างไรก็ตาม คำถามที่หลายคนยังคงสงสัยคือ ถ้าไวรัสตรวจไม่พบแล้ว สามารถมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยได้ไหม และมันปลอดภัยจริงหรือ?

  • หนองใน (Gonorrhea) | โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พบได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง

    หนองใน (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae ส่วนใหญ่ติดต่อกันผ่านทางเพศสัมพันโดยไม่ได้ป้องกัน อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ปัสสาวะแสบขัด หนองจากอวัยวะเพศ หรือมีตกขาวผิดปกติออกมาทางช่องคลอด หนองในสามารถพบได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้การติดเชื้อลุกลามหรือมีภาวะแทรกซ้อนได้ ซึ่งหนองในแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ การวินิจฉัยหนองใน หนองใน สามารถตรวจวินิจฉัยได้โดยการเก็บตัวอย่างปัสสาวะส่งเพาะเชื้อ แต่หากมีเพศสัมพันธ์ทางปากหรือมีอาการแสดงบริเวณช่องปากหรือลำคอ อาจเก็บตัวอย่างจากลำคอ หากมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักหรือมีอาการแสดงบริเวณทวารหนัก อาจเก็บตัวอย่างจากทวารหนัก หากมีอาการหนองในแสดงบริเวณอวัยวะเพศ อาจเก็บตัวอย่างจากปลายองคชาต หรือบริเวณปากมดลูก อาการหนองใน อาการในเพศชาย อาการในเพศหญิง การติดเชื้อทางทวารหนัก หนองในแท้และหนองในเทียม ต่างกันอย่างไร ? การป้องกันหนองใน การรักษาหนองใน หนองในสามารถรักษาได้ ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ รวมถึงใช้การรักษาอื่นๆควบคู่เพื่อบรรเทาอาการและลดภาวะแทรกซ้อนของโรค หากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเร็ว สามารถหายได้เร็ว แต่อาการความเสียหายของเนื้อเยื่อต้องใช้เวลาให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง สำหรับผู้ติดเชื้อหนองใน แพทย์จำเป็นต้องตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่อาจพบร่วมด้วย เช่น เอชไอวี(HIV), ซิฟิลิส(Syphilis) อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม ถึงแม้ว่า “หนองใน” จะสามารถรักษาได้…

  • |

    ออรัล เซ็กส์ (Oral Sex) อย่างไรให้ปลอดภัย ลดความเสี่ยงต่อโรคร้าย

    ออรัล เซ็กส์ ถือเป็นวิธีการมีเพศสัมพันธ์ อย่างหนึ่งที่ทำให้คู่รักรู้สึกเพลิดเพลิน หากทั้งสองฝ่ายยินยอมพร้อมใจ แต่ในบางครั้งการทำออรัลเซ็กส์อาจนำมาซึ่งโรคร้ายต่าง ๆ ได้ เช่น โรคติดเชื้อเอชพีวี ซิฟิลิส หรือแม้กระทั่งโรคเอดส์ ดังนั้น ก่อนจะทำออรัล เซ็กส์ ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค และการทำออรัล เซ็กส์อย่างปลอดภัย ออรัล เซ็กส์ (Oral Sex) คือ อะไร ? การใช้ช่องปาก ริมฝีปาก หรือลิ้น ในการกระตุ้นบริเวณอวัยวะเพศชาย อวัยวะเพศหญิง ทวารหนัก หรือส่วนที่อยู่ใกล้เคียงกับบริเวณดังกล่าว เพื่อให้คู่นอนอีกฝ่ายเกิดอารมณ์ทางเพศ ซึ่งทำได้ทั้งคู่รักเพศเดียวกันและคู่รักต่างเพศ การออรัล เซ็กส์นั้นเป็นสิ่งที่ทั้งผู้ชาย และผู้หญิงต่างปรารถนาเป็นอย่างมาก บางคนเพียงแค่ถูก ออรัล เซ็กส์ก็สามารถเสร็จได้โดยไม่ต้องสอดใส่ ข้อดีของออรัล เซ็กส์ คืออะไร ไม่ทำให้ท้อง และทำให้ฝ่ายหญิง และฝ่ายชายพอใจในเพศรสมากขึ้น และมีคนกลุ่มไม่น้อยที่ชอบออรัล เซ็กส์ มากกว่าการมีเซ็กส์จริงๆ เสียอีก ข้อเสียของออรัล เซ็กส์ คืออะไร สามารถติดโรคได้ทุกโรค เนื่องจากการกลืนน้ำหล่อลื่นฝ่ายหญิง…

  • |

    ซิฟิลิส รู้เร็ว รักษาได้

    ซิฟิลิส ซึ่งมีลักษณะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่ยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่มีผลต่อสุขภาพทั่วโลก โรคนี้เกิดขึ้นจากแบคทีเรียที่ชื่อ Treponema pallidum ถึงแม้จะมีการพัฒนาทางการแพทย์และแนวทางด้านสุขภาพสาธารณะ แต่โรคซิฟิลิสยังคงเป็นปัญหาสำคัญเนื่องจากลักษณะที่หลากหลายของโรค ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงและการแพร่กระจายต่อไป

  • |

    โรคเริม โรคติดต่อทางผิวหนัง ที่เราป้องกันได้

    เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังชนิดหนึ่ง สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยมักพบผู้ป่วยวัยหนุ่มสาว และวัยผู้ใหญ่ ผู้ป่วยโรคเริมส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการของโรค  หากเป็นแล้วสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก เพราะเมื่อเป็นแล้วอาจทำให้การรักษาให้หายขาดได้ยาก โรคเริม (Herpes) คืออะไร เริม (Herpes) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus) ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งของผิวหนังและเยื่อเมือกต่าง ๆที่พบบ่อยมากบริเวณปาก และอวัยวะเพศแล้ว ทำให้มีลักษณะพุขึ้นเป็นตุ่มใสเล็ก ๆ แล้วแตกเป็นแผล ตกสะเก็ด ซึ่งหายได้เอง แต่มักกำเริบซ้ำและเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมักมีอาการกำเริบได้บ่อยและรุนแรงกว่าปกติ   ระยะฟักตัวของโรค หลังจากได้รับเชื้อครั้งแรกจนกระทั่งแสดงอาการจะใช้เวลาประมาณ 2-20 วัน สาเหตุการเกิดโรคเริม โดยเชื้อไวรัสเริมแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ การติดเชื้อทั้ง 2  ชนิดนั้น สามารถเป็นปัจจัยสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อที่อวัยวะอื่นๆ ของร่างกายได้เช่นกัน เมื่อร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น การติดเชื้อที่สมอง และอวัยวะสำคัญต่างๆ HSV-1 และ HSV-2 เหมือนกันหรือไม่ ?…