ซิฟิลิส
|

ซิฟิลิส รู้เร็ว รักษาได้

ซิฟิลิส ซึ่งมีลักษณะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่ยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่มีผลต่อสุขภาพทั่วโลก โรคนี้เกิดขึ้นจากแบคทีเรียที่ชื่อ Treponema pallidum ถึงแม้จะมีการพัฒนาทางการแพทย์และแนวทางด้านสุขภาพสาธารณะ แต่โรคซิฟิลิสยังคงเป็นปัญหาสำคัญเนื่องจากลักษณะที่หลากหลายของโรค ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงและการแพร่กระจายต่อไป

เคล็ดลับห่างไกลจาก โรค HPV

เคล็ดลับห่างไกลจาก โรค HPV

โรค HPV มีเคล็ดลับในการป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อ ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพ ได้แก่ หูดที่อวัยวะเพศ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก และมะเร็งในช่องปาก เป็นต้น การป้องกันไม่ให้ติดเชื้อไวรัสเอชพีวีเกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีน การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ ในบทความนี้ เราจะอธิบายถึงมาตรการป้องกันเพื่อที่จะสามารถลดความเสี่ยงในการรับติด โรค HPV ได้อย่างมีประโยชน์สูงสุด

รักษาซิฟิลิส ไม่ต่อเนื่อง เสี่ยงอันตราย

รักษาซิฟิลิส ไม่ต่อเนื่อง เสี่ยงอันตราย

ว่าด้วยเรื่องของการ รักษาซิฟิลิส เพราะเป็นโรคที่ร้ายแรง และสามารถติดต่อไปสู่ผู้อื่นได้ง่าย โดยมีอาการที่ไม่ค่อยแสดงออกมา แต่อาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ดังนั้นการ รักษาซิฟิลิส จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค และช่วยให้ผู้ป่วยหายขาดได้อย่างแน่นอน ความสำคัญของการ รักษาซิฟิลิส โรคซิฟิลิส คือ สภาวะที่เกิดขึ้นจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันโจมตีเนื้อเยื่อภายในร่างกาย ซึ่งอาจเป็นอวัยวะ หรือเนื้อเยื่อต่างๆ ทำให้เกิดอาการอักเสบและความเสียหายต่อร่างกายได้ เชื้อซิฟิลิส เป็นโรคที่รุนแรงและเป็นอันตรายถ้าไม่ได้รับการรักษาซิฟิลิส ให้เหมาะสม การวินิจฉัยโรคซิฟิลิส จะใช้การตรวจเลือด และการตรวจเนื้อเยื่อ เพื่อหาสารที่เป็นตัวบ่งชี้ว่า การโจมตีเนื้อเยื่อจากระบบภูมิคุ้มกันหรือไม่ การรักษาโรคซิฟิลิส จะใช้ยาเข้าควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน หรือการผ่าตัดเพื่อเอาเนื้อเยื่อที่ถูกโจมตีออกจากร่างกาย อีกทั้งยังมีการรักษาโดยใช้เซลล์เอกซ์ไทร์ภูมิคุ้มกัน หรือการฉีดวัคซีนเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันด้วย สาเหตุของการเกิดโรคซิฟิลิส สาเหตุของโรคซิฟิลิสไม่เป็นที่รู้จักอย่างแน่ชัด แต่มีการวิจัยพบว่าโรคซิฟิลิสเกิดจากการผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันโจมตีเนื้อเยื่อภายในร่างกาย ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดการผิดปกตินี้ไม่เป็นที่รู้จักอย่างแน่ชัด แต่คาดว่าอาจมีความสัมพันธ์กับพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม เช่น ความเครียด การติดเชื้อ หรือการนำเข้าสารเคมีต่างๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ การวิจัยยังคงต้องทำต่อไปเพื่อให้เข้าใจสาเหตุและวิธีการป้องกันโรคซิฟิลิสให้ดียิ่งขึ้นได้ในอนาคต อาการของซิฟิลิส อาการของโรคซิฟิลิส จะแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ ของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่จะมีอาการเหมือนกัน อาการที่พบบ่อยที่สุดคือ ในบางกรณีอาจพบอาการแสดงอื่นๆ เช่น ผื่นขึ้นที่ผิวหนังหรืออาการเจ็บคอ การรักษาโรคซิฟิลิสจะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรียและความรุนแรงของอาการ โดยทั่วไปแล้วการรักษาจะใช้ยาปฏิชีวนะเป็นหลัก…

รักษาหูดข้าวสุก ด้วยตัวเอง ทำได้หรือไม่

รักษาหูดข้าวสุก ด้วยตัวเอง ทำได้หรือไม่

หลายคนสงสัยว่าการ รักษาหูดข้าวสุก นั้นสามารถทำได้ด้วยตัวเองจริงหรือเปล่า ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทำได้ยากเพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าติดเชื้อมาตอนไหน และลักษณะของตุ่มก็มีความคล้ายคลึงกับโรคผิวหนังชนิดอื่นด้วย หากคิดจะ รักษาหูดข้าวสุก ควรทำการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้โดยตรงจะดีที่สุด ซึ่งวันนี้ เราจะมาแนะนำเรื่องเกี่ยวกับการรักษาหูดข้าวสุกและการป้องกันที่คุณควรรู้เพื่อจะได้ห่างไกลจากโรคนี้ได้ครับ หูดข้าวสุก คือโรคอะไรกันแน่? โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Molluscum Contagiosum Virus : MCV (มอลลัสคุม คอนทาจิโอซุมไวรัส) เป็นเชื้อไวรัสที่อยู่ในกลุ่มพอกซ์ไวรัส (Poxvirus) ที่มักพบในบริเวณผิวหนังชั้นนอกเท่านั้น โดยจะแบ่งออกเป็นไวรัส MCV 4 ชนิดย่อย แต่ชนิดที่ 1 จะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดหูดข้าวสุกได้มากกว่า 95% แลไวรัสนี้ไม่มีผลต่อระบบภายในร่างกาย รวมไปถึงไม่แพร่กระจายโดยการจามหรือไอ ถือเป็นโรคผิวหนังที่สามารถติดต่อกันได้ในทุกเพศทุกวัย ซึ่งเชื้อจะเข้าไปในบริเวณผิวหนังที่เป็นแผล ลอก แตก จนทำให้เกิดตุ่มเนื้อ และมีรอยนูนขนาดเล็กทั่วร่างกาย แต่จะไม่ขึ้นตุ่มที่ฝ่ามือฝ่าเท้า เหมือนกับโรคซิฟิลิส และไม่ได้ส่งผลต่อระบบอวัยวะภายในมากนัก อาการของโรคหูดข้าวสุก ถึงแม้ว่า โรคนี้จะไม่ได้มีอาการที่รุนแรง แต่ทุกคนก็ควรได้รับการ รักษาหูดข้าวสุก ระยะฟักตัวตั้งแต่ได้รับเชื้อไวรัสนี้มาจะเกิดอาการประมาณ 14 วันขึ้นไป ถึง 6 เดือน โดยอาการที่อาจสังเกตพบได้ มีดังต่อไปนี้…

เริมที่อวัยวะเพศ รักษาอย่างไร

เริมที่อวัยวะเพศ รักษาอย่างไร

เริมที่อวัยวะเพศ เป็นหนึ่งในโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ หากคุณมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อ ซึ่งพบได้ทุกเพศทุกวัย ยิ่งเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน ที่มีโอกาสจะมีเซ็กส์กับคนแปลกหน้าได้ และทำให้ติดโรคเริมที่อวัยวะเพศมา ความน่ากลัวของเชื้อเริมนี้ คือ เมื่อคุณติดแล้วจะกลับมาเป็นซ้ำได้อีกเรื่อยๆ ไม่สามารถหายขาดได้อย่างสนิทใจสักที หากคุณไม่ทำการรักษาก็จริงลุกลามเป็นแผล ส่งผลให้รู้สึกขาดความมั่นใจได้ครับ เริมที่อวัยวะเพศ มีสาเหตุจากอะไร โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างเริมที่อวัยวะเพศนั้น จัดเป็นโรคที่เกิดจากไวรัสยอดฮิตที่ชื่อ เอชเอสวี (HSV : Herpes Simplex Virus) อ่านว่า เฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ ไวรัส แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ เริมที่อวัยวะเพศ ติดต่อง่ายแค่ไหน เริมที่อวัยวะเพศนี้ติดต่อกันได้ง่ายแม้ไม่ได้มีการสอดใส่หรือร่วมเพศระหว่างกันก็ตาม เพราะสามารถติดกันได้จากการสัมผัสเชื้อผ่านแผลและเยื่อบุต่างๆ เช่น การใช้มือสัมผัสเชื้อของผู้ที่เป็นเริมและนำมาจับอวัยวะเพศของตัวเอง ก็ทำให้เกิดการถ่ายทอดเชื้อได้ หรือแม้แต่การใส่ถุงยางอนามัยที่เราอาจจับโดนเชื้อแล้วมาจับที่อวัยวะเพศก่อนสวมถุงยางอนามัย จึงทำให้ไม่ช่วยป้องกันเชื้อเริมได้ทั้งหมด ที่สำคัญ เรายังมีโอกาสที่จะติดเชื้อเริมที่อวัยวะเพศจากแฟนหรือคู่นอนที่ไม่มีอาการ หรือแผลเริมได้อีกด้วย เนื่องจากอาการที่เคยเป็นหายไปแล้วเรียบร้อยและไม่มีรอยโรคที่สังเกตเห็นได้ ซึ่งจะแพร่เชื้อได้มากที่สุดในช่วง 1 ปีแรกหลังการติดเชื้อนั่นเอง อาการของเริมที่อวัยวะเพศ ในระยะแรกที่ติดเชื้อซึ่งจะมีระยะฟักตัวประมาณ 4-5 วัน จึงจะเริ่มแสดงอาการ และแพร่ไปตามแนวเส้นประสาท เกิดการลามเป็นบริเวณกว้างไปในบริเวณอื่นๆ ของร่างกายได้…

ไวรัสตับอักเสบบี มีสาเหตุมาจากอะไร?
|

ไวรัสตับอักเสบบี มีสาเหตุมาจากอะไร?

ไวรัสตับอักเสบบี เป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่ยังถูกพบจำนวนมาก ในประเทศไทย ซึ่งนำไปสู่โรคร้ายแรงต่อตับของร่างกาย ได้แก่ โรคมะเร็งตับ โรคตับแข็ง และโรคตับวาย เป็นต้น ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ทราบว่าตัวเองติดไวรัสตับอักเสบบีอยู่ เพราะไม่มีความรู้ความเข้าใจว่าโรคชนิดนี้มีสาเหตุมาจากอะไร โดยบทความนี้จะแสดงรายละเอียดถึงโรคไวรัสตับอักเสบบีทั้งหมด รู้จักไวรัสตับอักเสบบี โรคไวรัสตับอักเสบบี หรือภาษาอังกฤษว่า Hepatitis B virus : HBV เมื่อผู้ติดเชื้อได้รับไวรัสชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์ตับ การทำงานของตับเสื่อมลงเพราะเกิดพังผืดค่อยๆ เกาะหลายปี อันส่งผลให้มีภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และอาจกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด จากสถิติพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งตับร้อยละ 90 มีประวัติเคยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบมาก่อน อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบี ความเป็นจริง โรคไวรัสตับอักเสบบี ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะมีอาการแสดงออกมาให้เห็นชัดๆ หรือในบางรายจะเข้าสู่ระยะอาการแบบเฉียบพลันเท่านั้น และอาการส่วนใหญ่ที่สามารถสังเกตได้ คือ ประมาณ 10-20% ของคนที่ติดเชื้อไวรัสอักเสบบีจะหายจากโรคไปได้เอง เพราะภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล หากเข้าสู่ระยะเรื้อรังแล้ว ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อกันอย่างไร เชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะสามารถติดต่อกันผ่านทางเลือด และสารคัดหลั่งของมนุษย์เป็นหลัก การที่จะรู้ได้ว่าคุณติดเชื้อแล้วหรือไม่ จะต้องมีการเจาะเลือดตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีด้วยวิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี้ ความเสี่ยงเหล่านี้ อาจทำให้คุณติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี ได้ ไวรัสตับอักเสบบี…

กามโรคเป็นแล้วรักษาหายได้ไหม

กามโรคเป็นแล้วรักษาหายได้ไหม?

กลุ่มโรคที่เกิดจากการติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรคหรือคนที่ติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทางทวารหนัก เดิมมีชื่อว่า กามโรค (venereal diseases) ในปัจจุบันมีการค้นพบโรคในกลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้นจึงเปลี่ยนชื่อเป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (sexually transmitted infections, STIs) โรคที่สำคัญคือ ซิฟิลิส หนองในแท้ หนองในเทียม เริม และเอชพีวี กามโรค (Venereal Disease)  คืออะไร กามโรค (Venereal Disease) คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) หรือการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) เป็นโรคที่แพร่เชื้อกันเมื่อมีเพศสัมพันธ์ทั้งการสอดใส่ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทำออรัลเซ็กส์ ซึ่งติดต่อจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสผิวหนังที่เป็นโรค หรือสัมผัสเลือด อสุจิ เมือกในช่องคลอด และของเหลวอื่น ๆ ที่มาจากร่างกาย ทั้งนี้ กามโรคติดต่อกันได้โดยไม่ใช่จากการร่วมเพศเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการติดต่อทางสายเลือด การถ่ายเลือด การใช้เข็มหรือสิ่งของที่สัมผัสเลือด มูก หรือของเหลวของผู้ป่วยที่มีเชื้อ กามโรคเชื้อร้ายกลายพันธุ์ พัฒนาเป็น ซูเปอร์กามโรค 4 ชนิด 1….

โรคเริม โรคติดต่อทางผิวหนัง ที่เราป้องกันได้
|

โรคเริม โรคติดต่อทางผิวหนัง ที่เราป้องกันได้

เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังชนิดหนึ่ง สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยมักพบผู้ป่วยวัยหนุ่มสาว และวัยผู้ใหญ่ ผู้ป่วยโรคเริมส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการของโรค  หากเป็นแล้วสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก เพราะเมื่อเป็นแล้วอาจทำให้การรักษาให้หายขาดได้ยาก โรคเริม (Herpes) คืออะไร เริม (Herpes) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus) ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งของผิวหนังและเยื่อเมือกต่าง ๆที่พบบ่อยมากบริเวณปาก และอวัยวะเพศแล้ว ทำให้มีลักษณะพุขึ้นเป็นตุ่มใสเล็ก ๆ แล้วแตกเป็นแผล ตกสะเก็ด ซึ่งหายได้เอง แต่มักกำเริบซ้ำและเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมักมีอาการกำเริบได้บ่อยและรุนแรงกว่าปกติ   ระยะฟักตัวของโรค หลังจากได้รับเชื้อครั้งแรกจนกระทั่งแสดงอาการจะใช้เวลาประมาณ 2-20 วัน สาเหตุการเกิดโรคเริม โดยเชื้อไวรัสเริมแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ การติดเชื้อทั้ง 2  ชนิดนั้น สามารถเป็นปัจจัยสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อที่อวัยวะอื่นๆ ของร่างกายได้เช่นกัน เมื่อร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น การติดเชื้อที่สมอง และอวัยวะสำคัญต่างๆ HSV-1 และ HSV-2 เหมือนกันหรือไม่ ?…

ออรัล เซ็กส์ (Oral Sex)
|

ออรัล เซ็กส์ (Oral Sex) อย่างไรให้ปลอดภัย ลดความเสี่ยงต่อโรคร้าย

ออรัล เซ็กส์ ถือเป็นวิธีการมีเพศสัมพันธ์ อย่างหนึ่งที่ทำให้คู่รักรู้สึกเพลิดเพลิน หากทั้งสองฝ่ายยินยอมพร้อมใจ แต่ในบางครั้งการทำออรัลเซ็กส์อาจนำมาซึ่งโรคร้ายต่าง ๆ ได้ เช่น โรคติดเชื้อเอชพีวี ซิฟิลิส หรือแม้กระทั่งโรคเอดส์ ดังนั้น ก่อนจะทำออรัล เซ็กส์ ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค และการทำออรัล เซ็กส์อย่างปลอดภัย ออรัล เซ็กส์ (Oral Sex) คือ อะไร ? การใช้ช่องปาก ริมฝีปาก หรือลิ้น ในการกระตุ้นบริเวณอวัยวะเพศชาย อวัยวะเพศหญิง ทวารหนัก หรือส่วนที่อยู่ใกล้เคียงกับบริเวณดังกล่าว เพื่อให้คู่นอนอีกฝ่ายเกิดอารมณ์ทางเพศ ซึ่งทำได้ทั้งคู่รักเพศเดียวกันและคู่รักต่างเพศ การออรัล เซ็กส์นั้นเป็นสิ่งที่ทั้งผู้ชาย และผู้หญิงต่างปรารถนาเป็นอย่างมาก บางคนเพียงแค่ถูก ออรัล เซ็กส์ก็สามารถเสร็จได้โดยไม่ต้องสอดใส่ ข้อดีของออรัล เซ็กส์ คืออะไร ไม่ทำให้ท้อง และทำให้ฝ่ายหญิง และฝ่ายชายพอใจในเพศรสมากขึ้น และมีคนกลุ่มไม่น้อยที่ชอบออรัล เซ็กส์ มากกว่าการมีเซ็กส์จริงๆ เสียอีก ข้อเสียของออรัล เซ็กส์ คืออะไร สามารถติดโรคได้ทุกโรค เนื่องจากการกลืนน้ำหล่อลื่นฝ่ายหญิง…

ถุงยางอนามัย ป้องกันโรค ป้องกันลูก
| |

ถุงยางอนามัย ป้องกันโรค ป้องกันลูก

ถุงยางอนามัยมีความสำคัญในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการคุมกำเนิด ในปัจจุบัน มีถุงยางอนามัยให้เลือกใช้ ทั้งแบบสำหรับสตรีและแบบสำหรับบุรุษ  ถุงยางอนามัยคือ? ถุงยางอนามัย (Condom) มาจากภาษาละติน แปลว่า ภาชนะที่รองรับ ทำด้วยวัสดุจากยางพารา หรือโพลียูรีเทน โดยฝ่ายชายเป็นฝ่ายใช้สวมครอบอวัยวะเพศของตนเอง  และเป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้เป็นอันดับต้นๆ สำหรับช่วยป้องกันการคุมกำเนิด และช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  ซึ่งปัจจุบันมีการผลิต และพัฒนาถุงยางอนามัยออกสู่ตลาดจำนวนมาก ในหลากหลายแบบให้เลือก ทั้งที่มีสีสัน ผิวเรียบ ผิวไม่เรียบ มีกลิ่น และรสผลไม้ รวมทั้งมีรูปทรงที่แปลกตามากขึ้น ซึ่งแต่ละแบบเน้นวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกันไป ทำไมจึงต้องใส่ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เพราะ ถุงยางอนามัยจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ อย่างหนึ่งที่ใช้เพื่อการคุมกำเนิด หรือเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส หนองใน หูดหงอนไก่ เชื้อเอชไอวี โรคเอดส์ ไวรัสตับอักเสบบีและซี เป็นต้น  ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการสวมถุงยางอนามัย ระหว่างมีเพศสัมพันธ์ซึ่งสามารถป้องกันได้มากถึงร้อยละ 98% ชนิดของถุงยางอนามัย ถุงยางอนามัยที่มีการผลิตจำหน่ายมี 3 ชนิด โดยแบ่งตามวัสดุที่ใช้ ได้แก่ 1) ชนิดที่ทำจากลำไส้สัตว์ (Skin condom) วัสดุที่ใช้ผลิตเป็นส่วนของลำไส้ส่วนล่างของแกะ ที่เรียกว่า…