| |

PEP ยาเป็ปกับสิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มทาน

ในด้านของสุขภาพ ความรู้ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียว แต่มักเป็นสิ่งที่เราจะสามารถป้องกันความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ในโลกนี้มีสิ่งที่สำคัญแต่มักถูกมองข้ามไปเช่น PEP คือสิ่งที่มาพร้อมกับการป้องกันในปัญหาสุขภาพระดับโลกที่สำคัญนั่นคือเอชไอวี เป็ป ยังคงเป็นสิ่งที่จะสามารถต่อสู้กับเอชไอวีได้โดยให้การช่วยเหลือสำหรับบุคคลที่อาจได้รับการสัมผัสกับเชื้อไวรัส เป็ป เป็นวิธีการดูแลสุขภาพในช่วงเวลาหลังจากสัมผัสเชื้อเอชไอวีหรือหลังเกิดความเสี่ยง

PEP คือสิ่งที่เปลี่ยนโลกใบนี้

เป็ป เป็นการป้องกันเอชไอวีหลังพบความเสี่ยงที่เกิดขึ้น เป็ปเป็นการรักษาป้องกันที่เกี่ยวกับการทานยาต้านไวรัสหลังจากการสัมผัสเชื้อเอชไอวีเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ต้องทานยาเป็ปอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 28 วัน และควรเริ่มต้นภายใน 72 ชั่วโมงหลังเกิดความเสี่ยง ยิ่งเริ่มเร็วประสิทธิภาพในการป้องกันยิ่งมากขึ้น

การทำงานของเป็ป

กลไกการทำงานของเป็ป ทำให้การสร้างเชื้อไวรัสเอชไอวีถูกทำลาย เป็ป เป็นตัวแทรกแทรงขั้นตอนต่างๆของวงจรชีวิตของเชื้อไวรัส ทำให้ยุติการสร้างเชื้อไวรัสในร่างกาย เป็ป จะป้องกันเชื้อไวรัส เอชไอวี ที่เข้าสู่เซลล์ของร่างกายและการคัดกรองหรือยับยั้งการคัดลอกตัวของเชื้อไวรัสในระหว่างกระบวนการเข้าสู่ร่างกายของเชื้อ การทำงานของ เป็ป ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยมุ่งเน้นให้เชื้อไม่สามารถเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ในร่างกายได้ หากใช้ให้ถูกต้อง เป็ป จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส เอชไอวี อย่างมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย

สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนเริ่มทาน PEP

ระยะเวลาในการเริ่มทาน PEP

ระยะเวลามีความสำคัญอย่างมากเมื่อเกี่ยวข้องกับ เป็ป การเริ่มทานยาให้เร็วที่สุดหลังจากการสัมผัสเชื้อสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ ความล่าช้าในการทานยาหรือขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ที่ล่าช้าสามารถทำให้ประสิทธิภาพของ เป็ป ลดลง

การประเมินปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้น

เป็ปเป็นยาที่แนะนำให้ใช้ในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี เช่น

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน
  • การใช้เข็มร่วมกันกับผู้ที่ทราบว่าติดเชื้อเอชไอวี
  • การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ

ในกรณีนี้เป็นส่วนสำคัญที่จะประเมินระดับความเสี่ยงอย่างรอบคอบและพูดคุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อกำหนดว่าเป็ปมีความจำเป็นในกรณีนี้หรือไม่

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

เช่นเดียวกับยาอื่น ๆ เป็ป อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ตั้งแต่อาการเจ็บท้องเล็กน้อยจนถึงอาการรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นหากพบอาการที่เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ ยาเป็ป ควรมาพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

การทานยาอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ

การรับประทาน เป็ป อย่างสม่ำเสมอคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับประสิทธิภาพของเป็ป การขาดยาหรือหยุดใช้ยาก่อนกำหนดอาจเสี่ยงต่อความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี

จำเป็นต้องตรวจเอชไอวีเป็นประจำ

จะต้องมีการตรวจและติดตามอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินการตอบสนองต่อการรักษา ตรวจสอบการเกิดผลข้างเคียงที่เป็นไปได้ และให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง แพทย์จะทำการนัดหมายติดตามเพื่อประเมินประสิทธิภาพของ เป็ป และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาหรือความกังวลที่อาจเกิดขึ้น

การติดตามผลการรักษา

หากสิ้นสุดการรับประทานยา เป็ป ก็ยังคงต้องตรวจเอชไอวีและการดูแลเพิ่มเติมต่อไป ผู้ที่ได้รับ เป็ป ควรมารับการตรวจเอชไอวี ในระยะเวลาที่กำหนดหลังจากการรักษาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการติดเชื้อ นอกจากนี้ยังควรมีการติดตามผลเพื่อตรวจสอบผลกระทบที่เป็นไปได้หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในระยะยาวสำหรับการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

ผลข้างเคียงของการใช้เป็ป

ผลข้างเคียงของการใช้ เป็ป สามารถแตกต่างไปตามยาที่รับรายการและปัจจัยของบุคคลแต่ละคน ต่อไปนี้คือผลข้างเคียงที่พบบ่อยของการรับเป็ป

  • คลื่นไส้และอาเจียน
  • เหนื่อยล้า
  • ปวดหัว
  • ท้องเสีย
  • ผื่นหนัง
  • เปลี่ยนแปลงในการรับประทานอาหาร
  • ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อ
  • การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์

ควรทราบว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีผลข้างเคียงเหล่านี้ และบางคนอาจไม่มีผลข้างเคียงเกิดขึ้นเลย อีกทั้ง ประโยชน์ของ เป็ปในการป้องกันการแพร่ระบาดของ เอชไอวี จะมีความสำคัญมากกว่าความเสี่ยงของผลข้างเคียง หากคุณมีอาการข้างเคียงที่เป็นปัญหาหรือเป็นอย่างต่อเนื่องขณะรับ เป็ป ควรติดต่อแพทย์เพื่อขอคำแนะนำต่อไป

ประสิทธิภาพของ PEP

สามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อเอชไอวีได้เมื่อเริ่มใช้โดยทันทีหลังจากการสัมผัสเชื้อ การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการให้ เป็ป ทันทีหลังจากการสัมผัสสามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อเอชไอวี ได้ถึง 80% ประสิทธิภาพของ เป็ป ขึ้นอยู่ระยะเวลาในการทาน เป็ปจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อเริ่มต้นใช้โดยทันทีหลังจากการสัมผัสเชื้อ โดยที่ต้องเริ่มต้นภายหลังจากการสัมผัส ไม่นานเกิน 72 ชั่วโมง ความล่าช้าในการทานยาครั้งแรกอาจทำให้เพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น

เป็ป จะต้องทานต่อเนื่องเป็นเวลา 28 วัน การทำความเข้าใจเกี่ยวกับระยะเวลาการทานยาเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี เป็ป จะลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ HIV ได้อย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ป้องกันได้ 100% ดังนั้นควรปฏิบัติตามวิธีที่ปลอดภัยขึ้นเพิ่มเติม เช่น การใช้ถุงยางอนามัย จะทำให้ป้องกันได้มากขึ้น

ข้อพึงระวัง

ข้อควรระวัง เป็ปสามารถป้องกันเอชไอวีมากกว่า 80 % ได้จริงหากทานยาอย่างถูกต้องและหมั่นตรวจเอชไอวีอย่าสม่ำเสมอแต่เป็ปไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆได้ดังนั้น การใช้ถุงยางอนามัย จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปฎิบัติเพราะถุงยางอนามัยสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้และสามารถป้องกันเอชไอวีได้ หากใช้ควบคู่ไปกับการทาน เป็ป ยิ่งทวีคูณความปลอดภัยเพิ่มขึ้นหายห่วงเรื่องเพศและสร้างความมั่นใจให้กับคู่ของตนเอง

“ถึงแม้ว่า เป็ป จะป้องกันเอชไอวีได้ แต่ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆได้ ดังนั้นถุงยางอนามัยเป็นตัวเลือกที่มาควบคู่กับเป็ปได้ดี”

ปัจจัยสำคัญของ เป็ป ก่อนที่จะเริ่มการรักษาเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง โดยการพิจารณาปัจจัยเช่นเกณฑ์ความเหมาะสม ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น การปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การปฏิบัติตามระเบียบการรักษาที่กำหนดไว้และความรู้เกี่ยวกับ เป็ป จะสามารถช่วยป้องกันและเพิ่มความปลอดภัยของตนเองในสถานการณ์ที่มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีในที่สุด เป็ป เป็นสิ่งที่สำคัญในการต่อสู้กับ HIV/AIDS ที่สามารถช่วยให้บุคคลสามารถควบคุมสุขภาพทางเพศและลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของเอชไอวี ได้

Similar Posts

  • | | | |

    การทำความเข้าใจกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่เป็นกลุ่ม U=U

    เมื่อเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าไปสู่ร่างกาย จะเข้าทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้ามาสู่ร่างกาย จึงทำให้ผู้ป่วยมีระบบภูมิคุ้มกันที่ต่ำลงจนในที่สุด ร่างกายของผู้ป่วย ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้าไปสู่ร่างกายได้ และอาจเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสได้ เช่น วัณโรค เชื้อรา ปอดบวม เป็นต้น โดยส่วนมากผู้ป่วยจะมีปริมาณของไวรัส ในเลือดมากกว่า 200-1,000 ตัว ต่อซีซีของเลือด แต่ะเมื่อได้เข้ารับการรักษา ทำให้มีปริมาณของเชื้อไวรัส ในเลือดต่ำกว่า 50 ตัวต่อซีซีของเลือด โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว เราจะเรียกกันว่า ตรวจไม่เจอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เชื้อที่อยู่ภายในร่างกายได้หมดไปแล้ว เพียงแต่ จะมีปริมาณที่เหลือน้อยมาก ๆ จนทำให้ตรวจไม่เจอ U=U คืออะไร U = U หรือ Undetectable = Untransmittable  หรือ ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่ U ตัวแรกคือ Undetectable หมายถึง ตรวจไม่เจอเชื้อ และ U…

  • ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน หาซื้อได้ที่ไหน? คลินิก โรงพยาบาล และบริการใกล้คุณ

    การป้องกันเอชไอวีถือเป็นหัวใจสำคัญของสุขภาพทางเพศในยุคปัจจุบัน แต่ในบางครั้งสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดก็สามารถเกิดขึ้นได้ เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย ถุงยางฉีกขาดหรือหลุดโดยไม่ทันรู้ตัว การถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือแม้แต่การสัมผัสกับเลือดและเข็มฉีดยาที่อาจปนเปื้อนเชื้อเอชไอวี สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างความกังวลใจให้กับผู้ที่เผชิญเหตุการณ์ทันที คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นว่า “จะทำอย่างไรเพื่อลดความเสี่ยง?” คำตอบที่วงการแพทย์ยืนยันชัดเจนคือการใช้ ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน (Post-Exposure Prophylaxis หรือ PEP) บทความนี้จะเจาะลึกข้อมูลที่คุณควรรู้เกี่ยวกับยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน ตั้งแต่หลักการทำงาน เหตุผลที่ไม่สามารถซื้อได้ทั่วไป สถานที่ที่สามารถเข้ารับยา ขั้นตอนการเข้ารับบริการ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าหากเผชิญกับความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด จะสามารถปกป้องตัวเองได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องตามหลักการแพทย์ ความสำคัญของยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน ยาต้านเอดส์ ฉุกเฉิน หรือที่เรียกกันว่า PEP (Post-Exposure Prophylaxis) เป็นยาที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังจากที่บุคคลหนึ่งได้รับความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน การใช้ถุงยางอนามัยที่แตกหรือหลุด การถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือแม้กระทั่งการสัมผัสกับเลือดหรือของมีคมที่ปนเปื้อนเชื้อ ยาชนิดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในสถานการณ์เร่งด่วนที่ไม่สามารถรอได้ เพราะเวลาคือปัจจัยสำคัญที่สุดในการป้องกันเชื้อเอชไอวีไม่ให้เข้าสู่ร่างกายและแพร่กระจาย ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน คืออะไร ทำงานอย่างไร ? ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน หรือ PEP คือ การใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีแบบรวมสูตร (antiretroviral therapy: ART) ในช่วงเวลาหลังการสัมผัสความเสี่ยง จุดประสงค์หลักคือเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่เซลล์ของร่างกายและเริ่มกระบวนการเพิ่มจำนวน หากได้รับภายใน 72 ชั่วโมงหลังสัมผัสความเสี่ยง โอกาสในการป้องกันเชื้อจะสูงมาก…

  • รวมทุกเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับ “กามโรค” อันตรายใกล้ตัวกว่าที่คิด

    ในยุคที่ความสัมพันธ์ทางเพศเปิดกว้างและการพบปะผู้คนใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้ง่ายผ่านแอปหรือสังคมออนไลน์ “กามโรค” กลายเป็นประเด็นสุขภาพที่คนรุ่นใหม่ควรให้ความสำคัญมากกว่าที่คิด หลายคนอาจมองว่ากามโรคเป็นเรื่องไกลตัว หรือคิดว่าเป็นโรคของคนเจ้าชู้เท่านั้น แต่ในความเป็นจริง กามโรคสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นชายหญิง คู่รัก หรือแม้แต่คนที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก การเข้าใจเรื่องกามโรคอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่เพียงเพื่อป้องกันตัวเอง แต่ยังช่วยลดการแพร่เชื้อในสังคม และส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่เห็นว่าการดูแลสุขภาพทางเพศเป็นเรื่องปกติและสำคัญไม่แพ้การดูแลร่างกายทั่วไป บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจ “ทุกเรื่องเกี่ยวกับกามโรค” ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีป้องกัน ไปจนถึงแนวทางการรักษาแบบมืออาชีพ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าความรู้เรื่องนี้จะช่วยปกป้องคุณและคนรอบตัวจากโรคที่อาจส่งผลต่อชีวิตในระยะยาว ความหมายของ “กามโรค” คืออะไร ? “กามโรค” หรือที่ปัจจุบันนิยมใช้คำว่า “โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” (Sexually Transmitted Diseases – STDs) หมายถึง กลุ่มโรคที่ติดต่อจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการสอดใส่ การสัมผัสของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด หรือเลือด รวมถึงการสัมผัสทางปากและทวารหนัก กามโรคไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะจากการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่บางชนิดยังสามารถติดต่อได้จากการใช้ของร่วมกัน หรือแม้แต่การสัมผัสแผลเปิดของผู้ติดเชื้อโดยตรง ปัจจุบันมีโรคในกลุ่มนี้มากมาย ซึ่งบางโรครักษาให้หายได้ แต่บางโรคต้องควบคุมไปตลอดชีวิต การเปลี่ยนคำเรียกจาก “กามโรค” เป็น “โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” มีเหตุผลสำคัญคือการลดการตีตรา…

  • | | | |

    ตรวจเอชไอวีไม่เจอ เป็นเพราะอะไรได้บ้าง?

     การตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวี  ถ้าผลตรวจออกมาเป็นลบ หรือไม่เจอเชื้อ ก็เป็นการได้เริ่มต้นป้องกันตัวเองอย่างจริงจัง หรือถ้าตรวจเจอเชื้อ ก็ถือว่าเป็นการรู้ตัวก่อนที่จะป่วยขึ้นมา เพื่อได้เข้าสู่กระบวนการรักษาแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่ป่วยหรือ เสียชีวิตจากโรคเอดส์ อีกทั้งสามารถป้องกันคนที่เรารักและคนอื่นๆ ไม่ให้ติดเชื้อจากเราได้ การตรวจหาเชื้อเอชไอวี สามารถแบ่ง 2 ลักษณะ คือ ตรวจคัดกรอง และตรวจยืนยัน 1. การตรวจคัดกรอง คือ การตรวจเพื่อกรองบุคคลผู้มีความเสี่ยงจากการได้รับเชื้อเอชไอวี ว่ามีโอกาสได้รับเชื้อหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการตรวจโดย Rapid Test เป็นชุดตรวจที่ตรวจง่าย รู้ผลรวดเร็วภายในไม่กี่นาที ซึ่งมีความแม่นยำสูง  หากผลตรวจพบว่า มีโอกาสพบเชื้อเอชไอวี ผู้ตรวจควรดำเนินการตรวจยืนยันที่โรงพยาบาล หรือคลินิกได้ทันที การตรวจแบบคัดกรองนี้ไม่สามารถยืนยัน หรือสรุปได้ว่าคุณเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี 2. การตรวจยืนยัน คือ การตรวจยืนยัน อีกครั้งหลังจาก คุณทำการตรวจคัดกรองมาแล้ว และพบว่ามีโอกาส ได้รับการติดเชื้อเอชไอวี  ทำไมถึงต้องตรวจคัดกรองก่อน เพราะปัจจุบัน การตรวจยืนยัน ยังอาจใช้เวลานาน กว่าจะทราบผล และมีผู้ป่วยมารับบริการจำนวนมาก ดังนั้นหากมีการตรวจคัดกรองมาก่อน ก็จะสามารถช่วยคัดกรองผู้ป่วย ที่มีโอกาสพบเชื้อ กับผู้ที่ไม่มีโอกาสพบเชื้อ ให้สามารถเข้าสู่ระบบการตรวจรักษาได้เร็วขึ้น และลดภาระงาน…

  • CD4 สำคัญอย่างไรกับผู้ติดเชื้อ HIV?

    HIV เป็นเชื้อไวรัสที่จะทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค และเชื้อไวรัสต่าง ๆ เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาว ถูกทำลายจนอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะถูกเชื้อไวรัสเอชไอวีโจมตีจนไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้และก่อให้พัฒนาจนกลายเป็นโรคเอดส์ (AIDS) เต็มขั้น การตรวจวัดจำนวน CD3/CD4/CD8 ในกระแสเลือด ซึ่งเป็น CD ที่มีความจำเพาะกับเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันชนิดที่ต้องมีการกระตุ้น ( Adaptive Immune Response ) คือ กลุ่มเม็ดเลือดขาว ชนิดที่สร้างแอนติบอดี ( B cells ) หรือ กลุ่มเม็ดเลือดขาวที่เป็นหน่วยความจำ ( T cells ) และมีความสำคัญต่อการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย CD4 คืออะไร? CD4 cells ย่อมาจากคำว่า Cluster of Differentiation 4 บางครั้งถูกเรียกว่า T-cells หรือ T-helper cells  CD4 คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ที่มีหน้าที่ควบคุม และต่อสู้กับเชื้อโรค…

  • |

    ความแตกต่างระหว่าง HIV-1 กับ HIV-2

    เชื้อไวรัสเอชไอวี  จัดเป็นไวรัสชนิด RNA ใน subfamily Lentivirinae มีเอนไซม์ที่เป็นลักษณะสำคัญ คือ เอนไซม์รีเวอร์สทรานสคริพเตส (Reverse transcriptase, RT)  สายพันธุ์ของเชื้อไวรัสเอชไอวี สายพันธุ์ของเชื้อไวรัสเอชไอวี เป็นเชื้อที่สามารถกลายพันธุ์(Mutatuion)ได้รวดเร็ว ในร่างกายของผู้ติดเชื้อคนๆหนึ่งจะพบเชื้อไวรัสเอชไอวีสายพันธุ์ต่างๆ ได้หลายชนิด จึงต้องมีการจัดจำแนกชนิดของเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยใช้ข้อมูลรหัสพันธุกรรมที่มีความคล้ายคลึงกันเป็นเกณฑ์ในการคัดกรอง โดยสามารถแบ่งออกเป็น types, groups และ subtypes เชื้อไวรัสเอชไอวีมี 2 ชนิด ได้แก่ HIV type 1 (HIV-1) และ HIV type 2 (HIV-2) ความแตกต่างระหว่าง HIV-1 กับ HIV-2 การแพร่เชื้อ HIV-2 ส่งต่อได้ยากกว่า HIV-1 เพราะรูปแบบการแพร่เชื้อ HIV-2 ที่พบบ่อยที่สุดคือ  การวินิจฉัย ความแตกต่างทางพันธุกรรมระหว่าง HIV-1 และ HIV-2 หมายความว่า หากบุคคลทำการทดสอบ…