PrEP ซื้อที่ไหน ราคาเท่าไร? รวมคำตอบที่ควรรู้

ในยุคที่การป้องกันเอชไอวี (HIV) มีความสำคัญอย่างยิ่ง PrEP หรือ Pre-Exposure Prophylaxis ได้กลายเป็นทางเลือกที่หลายคนให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นยาต้านไวรัสที่ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อได้เกือบ 100% หากใช้ถูกต้องและต่อเนื่อง การมีข้อมูลที่ถูกต้องว่า PrEP ซื้อที่ไหน และราคาเท่าไร จึงเป็นคำถามสำคัญที่ผู้คนจำนวนมากอยากได้คำตอบอย่างชัดเจน การหาซื้อ PrEP ไม่ใช่แค่การซื้อยา แต่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย คุณภาพของยา การดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง และค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม บทความนี้จะอธิบายทุกประเด็นที่คุณควรรู้ ตั้งแต่พื้นฐานของ PrEP ความสำคัญ ราคา ช่องทางซื้อ ไปจนถึงปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนเริ่มใช้ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าทุกการตัดสินใจจะเป็นไปอย่างรอบคอบและปลอดภัย

ยา PrEP คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ

PrEP ย่อมาจาก Pre-Exposure Prophylaxis เป็นการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีสำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ โดยเป้าหมายคือการป้องกันไม่ให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายและสร้างการติดเชื้อถาวร หลักการทำงานของ PrEP คือการสร้างระดับยาที่เพียงพอในเลือดและเนื้อเยื่อ หากเชื้อ HIV เข้ามาในร่างกายระหว่างการมีเพศสัมพันธ์หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เชื้อจะไม่สามารถแพร่กระจายและฝังตัวได้ งานวิจัยระดับนานาชาติยืนยันว่า หากใช้ PrEP อย่างถูกต้องและต่อเนื่อง สามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อได้เกือบ 100% และหากใช้ควบคู่กับถุงยางอนามัย จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ ได้เพิ่มเติมอีก PrEP จึงถือเป็นการป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูง และได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐอเมริกา (CDC)

PrEP ซื้อที่ไหน ในประเทศไทย

ในประเทศไทย PrEP สามารถเข้าถึงได้เฉพาะผ่านแพทย์และสถานพยาบาลที่มีมาตรฐาน เท่านั้น ไม่สามารถซื้อได้เองตามร้านขายยาหรือช่องทางออนไลน์ได้ โดยทั่วไปสามารถเข้าถึง PrEP ได้จาก 3 ช่องทางหลัก ได้แก่

  1. โรงพยาบาลของรัฐ ในไทยปัจจุบันมียา PrEP ฟรี สำหรับผู้ที่เข้าเกณฑ์ความเสี่ยงผ่านโครงการที่สนับสนุนโดย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมการตรวจสุขภาพก่อนเริ่มใช้ และติดตามทุก 3 เดือน
  2. โรงพยาบาลเอกชน ให้บริการ PrEP ภายใต้ความสะดวก รวดเร็ว และความเป็นส่วนตัวสูง มีการติดตามผลอย่างใกล้ชิด ราคาสูงกว่าโรงพยาบาลรัฐ แต่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบริการแบบครบวงจร
  3. คลินิกเฉพาะทางและคลินิกชุมชน หลายแห่งได้รับการสนับสนุนจากโครงการด้านสุขภาพ ทำให้มีค่าใช้จ่ายถูกลง หรือในบางกรณีไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย การดูแลโดยแพทย์ยังคงเป็นมาตรฐาน และมีบรรยากาศที่เป็นมิตรกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย และหญิงข้ามเพศ

ทำไม PrEP ต้องจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น

PrEP ไม่ใช่ยาที่สามารถซื้อได้เองตามร้านขายยาหรือผ่านช่องทางออนไลน์ เนื่องจากเป็นยาที่ต้องจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น และต้องได้รับการดูแลติดตามอย่างใกล้ชิด การเริ่มใช้ PrEP ไม่ได้หมายถึงการรับยาแล้วสามารถใช้ได้ทันที แต่ผู้ใช้จำเป็นต้องผ่านการตรวจเลือด เพื่อยืนยันว่าไม่มีการติดเชื้อเอชไอวี ตรวจการทำงานของตับและไต รวมถึงตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ขั้นตอนเหล่านี้มีความสำคัญมาก เพราะหากข้ามไปอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการใช้ยาอย่างไม่ถูกต้อง และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว

นอกจากนี้ การติดตามผลทุก 3 เดือนถือเป็นหัวใจสำคัญของการใช้ PrEP เพราะช่วยให้มั่นใจว่าผู้ใช้ยังคงปลอดจากเชื้อเอชไอวี รวมถึงช่วยประเมินผลข้างเคียงจากการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง การมีแพทย์คอยกำกับดูแลจึงไม่เพียงแค่ทำให้การใช้ PrEP ปลอดภัยยิ่งขึ้น แต่ยังทำให้ผู้ใช้ได้รับการดูแลสุขภาพในภาพรวมอย่างครบถ้วนอีกด้วย

ราคา PrEP ในประเทศไทย

ค่าใช้จ่ายในการรับบริการ PrEP (เพร็พ) ในประเทศไทย จะแตกต่างกันไปตามสถานพยาบาล รวมถึงการสนับสนุนจากโครงการด้านสุขภาพต่าง ๆ โดยแบ่งได้ดังนี้

โรงพยาบาลของรัฐ

  • ผู้ที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสามารถรับ PrEP ได้ ฟรี ผ่านโครงการที่สนับสนุนโดย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
  • หากไม่อยู่ในเกณฑ์กลุ่มเสี่ยง อาจมีค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

โรงพยาบาลเอกชน

  • ราคาประมาณ 1,500 – 5,000 บาทต่อเดือน ครอบคลุมทั้งค่ายา ค่าตรวจสุขภาพ และค่าบริการ
  • ราคาขึ้นอยู่กับ ยี่ห้อของยา และอัตราค่าบริการของแต่ละโรงพยาบาล

คลินิกเฉพาะทาง และคลินิกชุมชน

  • ส่วนใหญ่เกิดจากการสนับสนุนของโครงการสาธารณสุขหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • หลายแห่งมีบริการ ฟรี หรือมีค่าใช้จ่ายเพียง ไม่เกิน 500 บาทต่อเดือน

การตรวจสุขภาพก่อนและระหว่างใช้ PrEP

มาตรฐานการใช้ PrEP กำหนดให้มีการตรวจสุขภาพทั้งก่อนเริ่มใช้และระหว่างใช้ยา โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • ก่อนเริ่มใช้ PrEP: ต้องตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี ตรวจการทำงานของตับและไต และตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ระหว่างใช้ PrEP: ต้องตรวจติดตามทุก 3 เดือน เพื่อยืนยันว่าไม่มีการติดเชื้อใหม่ และตรวจสอบการทำงานของอวัยวะภายใน

การตรวจอย่างสม่ำเสมอช่วยให้มั่นใจว่าการใช้ PrEP มีความปลอดภัยสูงสุด และลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว

เปรียบเทียบ ข้อดีและข้อเสีย ของแต่ละช่องทาง

การเลือกว่าจะซื้อ PrEP ที่ไหนขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละบุคคล โรงพยาบาลของรัฐมีข้อดีเรื่องราคาที่ถูกกว่า แต่ต้องรอคิวนาน โรงพยาบาลเอกชนมีบริการที่รวดเร็วและเป็นส่วนตัว แต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า ส่วนคลินิกชุมชนเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นมิตร ราคาไม่แพง และยังได้รับการดูแลจากแพทย์เช่นเดียวกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือไม่ว่าคุณจะเลือกช่องทางไหน PrEP จะต้องจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น และมีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง

PrEP แบบเม็ด และแบบฉีด ต่างกันอย่างไร ?

ปัจจุบัน PrEP มีให้เลือกทั้งในรูปแบบยาเม็ด และแบบฉีดเข้ากล้ามเนื้อ โดยยาเม็ดต้องรับประทานเป็นประจำทุกวัน หรือในบางกรณีสามารถใช้เฉพาะช่วงที่มีความเสี่ยง ส่วน PrEP แบบฉีด จะออกฤทธิ์ยาวนานกว่าหลังจากได้รับการฉีด ทำให้ไม่ต้องกังวลกับการกินยาทุกวัน การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับความสะดวก ไลฟ์สไตล์ ความเหมาะสมทางสุขภาพ และคำแนะนำจากแพทย์ หากเป็นผู้ที่สามารถรับประทานยาได้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ แบบเม็ดก็ถือว่าเหมาะสม ขณะที่แบบฉีดช่วยลดภาระเรื่องการกินยา แต่ต้องเข้ารับบริการฉีดตามนัดที่แพทย์กำหนด ไม่ว่าจะเลือกใช้ในรูปแบบใด ทั้งยาเม็ด และยาฉีดต่างก็มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี

อ่านบทความที่น่าสนใจ

การใช้ PrEP อย่างถูกต้องไม่เพียงช่วยป้องกันคุณจากเอชไอวี แต่ยังช่วยสร้างความมั่นใจในชีวิตประจำวัน สิ่งสำคัญคือการใช้ PrEP ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ มีการตรวจสุขภาพก่อนเริ่มใช้ และตรวจติดตามทุก 3 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุด

แหล่งที่มา

  • World Health Organization (WHO). Guidelines on when to start antiretroviral therapy and on pre-exposure prophylaxis for HIV. Geneva: WHO; 2015. https://www.who.int/hiv/pub/guidelines/earlyrelease-arv/en/
  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Pre-exposure Prophylaxis (PrEP). Atlanta: CDC; 2024. https://www.cdc.gov/hiv/basics/prep.html
  • UNAIDS. PrEP and the prevention of HIV infection: policy brief. Geneva: UNAIDS; 2021. https://www.unaids.org/en/resources/documents/2021/PrEP-policy-brief

Similar Posts

  • โรคเอดส์ (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome)

    คนส่วนใหญ่มักจะเข้าผิดว่าผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคเอด์ เป็นโรคเดียวกัน จริงๆ แล้วผู้ที่ได้รับเชื้อเชื้อเอชไอวี ระยะแรกจะยังไม่เป็นโรคเอดส์จนผู้ติดเชื้อไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง จนผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ จึงจะเรียกว่า ผู้ป่วยโรคเอดส์ โรคเอดส์คืออะไร? โรคเอดส์ (AIDS หรือ Acquired Immune Deficiency Syndromes)       A = Acquired    หมายถึง สภาวะที่เกิดขึ้นมาภายหลัง ไม่ได้มีมาแต่กำเนิด       I = Immune     หมายถึง ส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน หรือภูมิต้านทานของร่างกาย       D = Deficiency  หมายถึง ความเสื่อมลง       S = Syndrome   หมายถึง กลุ่มอาการ หรืออาการหลาย ๆ อย่างไม่เฉพาะระบบใดระบบหนึ่ง โรคเอดส์  คือ กลุ่มอาการของโรคฉวยโอกาส เกิดจากการที่ร่างกายติดเชื้อไวรัสเอชไอวี เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อเข้าไปจนถึงระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ เชื้อไวรัสจะเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจนทำให้ผู้ป่วยมีจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ลดลง จนไม่สามารถต่อสู้เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย  ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคแทรกซ้อนที่เรียกว่า…

  • |

    โรคเอดส์ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ป้องกันได้ รักษาได้

    “โรคเอดส์” หรือ AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นคำที่หลายคนเคยได้ยินมาตั้งแต่อดีต และในบางครั้งยังถูกใช้อย่างคลาดเคลื่อน จนเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคนที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ซึ่งเป็นไวรัสต้นเหตุของโรคเอดส์อย่างแท้จริง บางคนเข้าใจว่า HIV และเอดส์คือสิ่งเดียวกัน หรือเข้าใจว่าเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาได้และต้องเสียชีวิตในเวลาอันสั้น แต่ในความเป็นจริง ปัจจุบันความรู้ทางการแพทย์ได้พัฒนาไปไกลมาก บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจโรคเอดส์ อย่างถูกต้อง แยกให้ออกระหว่างการติดเชื้อ HIV กับการเป็นเอดส์ พร้อมทั้งพูดถึงวิธีการป้องกัน การรักษา และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพของผู้ที่ติดเชื้อ HIV ในปัจจุบัน HIV และเอดส์ ต่างกันอย่างไร ? HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือไวรัสที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะไปทำลายระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 หากไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนเข้าสู่ระยะของโรคเอดส์ AIDS หรือ “โรคเอดส์” เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV ซึ่งภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอจนร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคฉวยโอกาสอื่น ๆ ได้ เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ…

  • | | | |

    15 เรื่องที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์

    ถึงแม้ว่าโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจะมีมานานมากแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังมีความรู้ความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี ทำให้ปัจจุบันต้องมีการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี หรือการเผยแพร่ความรู้ใหม่ ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง เอชไอวี คืออะไร เชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus) คือ ไวรัสที่จะเข้าไปกัดกินทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคเอดส์ คืออะไร เอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome – AIDS) คือ กลุ่มอาการของการติดเชื้อโรคแทรกซ้อนต่างๆ เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่งกายถูกเชื้อเอชไอวีทำลายจนไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายเหล่านี้ได้ สาเหตุการติดเชื้อเอชไอวี สามารถติดเชื้อเอชไอวีโดยการสัมผัสกับเลือด น้ำอสุจิ ของเหลวจากช่องคลอด หรือแม้แต่น้ำนมแม่ สาเหตุการแพร่เชื้อส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือส่งผ่านจากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์ เรื่องที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์ 1. โรคเอดส์ กับ เชื้อเอชไอวี เป็นคนละตัวกัน HIV คือ เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง  ส่วนโรคเอดส์ คือ โรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นหลังภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เชื้อเอชไอวีทำลาย 2. โรคเอดส์ ยังมีโอกาสรอดชีวิต…

  • ติดเชื้อ HIV ดูแลตัวเองอย่างไร

    การตรวจพบว่าตัวเอง ติดเชื้อ HIV และต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเชื้ออาจเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ติดเชื้ออย่างมาก แต่ด้วยการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่มีสุขภาพดีได้ เพราะการดูแลตนเองเมื่อ ติดเชื้อ HIV เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวม และการจัดการสภาพร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้ นำเสนอเคล็ดลับและกลยุทธ์ที่จำเป็น เพื่อนำทางชีวิตในฐานะบุคคลที่ ติดเชื้อ HIV ตั้งแต่การเข้าสู่กระบวนการรักษาพยาบาลและการทำความเข้าใจตัวเลือกการรักษา ไปจนถึงการใช้พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ การป้องกันการแพร่เชื้อ การจัดการสุขภาพจิตและอารมณ์ที่ดี ตลอดจนการเข้าถึงแหล่งข้อมูล การสนับสนุนที่จำเป็นเพื่อช่วยให้ผู้ ติดเชื้อ HIV มีความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นในการดำรงชีวิตและมีความสุขขณะใช้ชีวิตร่วมกับเชื้อเอชไอวีได้ โดยการน้อมรับแนวทางปฏิบัติในการดูแลตนเองและการรับทราบข่าวสารที่เกี่ยวข้อง

  • | | |

    ทำความเข้าใจก่อนใช้ยาเพร็พ และยาเป๊ป

    สิ่งสำคัญของยาต้านไวรัสเอชไอวีคือ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี ทั้งก่อนและหลังการสัมผัสเชื้อ หากพูดถึงวิธีป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี คนส่วนใหญ่จะนึกถึงการสวมถุงยางอนามัย ซึ่งเป็นวิธีป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อที่ปลอดภัย และลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากใช้ร่วมกับยาต้านไวรัสเอชไอวี ก็อาจช่วยลดความเสี่ยงได้มากขึ้น แต่ต้องใช้อย่างถูกต้อง ซึ่งโดยคนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยาต้านเอชไอวี PrEP และPEP  ว่าทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีอย่างไร เราจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี PrEP และ PEP คืออะไร? เพร็พ (PrEP-Pre-Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสเอชไอวี ที่ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีสำหรับผู้ที่มีผลเลือดเป็นลบ หรือเป็นการใช้ยาเพื่อเตรียมตัวไว้ก่อนจะมีโอกาสได้สัมผัสเชื้อ เป๊ป (PEP- Post-Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสฉุกเฉิน สำหรับผู้ที่มีผลเลือดเป็นลบที่เพิ่งได้สัมผัสเชื้อมาไม่เกิน 72 ชั่วโมง PrEP & PEP ทำงานอย่างไร? กลไกของยา PrEP จะไปสะสมอยู่ในเม็ดเลือดขาวในเลือดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งอวัยวะที่เป็นช่องทางเข้าของเชื้อเอชไอวี เช่น ช่องคลอด ปากมดลูก ปากทวารหนัก เยื่อบุอวัยวะสืบพันธุ์ชาย ฯลฯ เมื่อเชื้อเอชไอวี เข้าไปในร่างกายในช่องทางดังกล่าว เชื้อก็จะถูกยาที่สะสมอยู่ก่อนหน้านั้นยับยั้งไม่ให้แบ่งตัว…

  • ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง

    การติดเชื้อเอชไอวีนับว่าเป็นปัญหาระดับโลกที่หน่วยงานระดับสากล ได้ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยมุ่งหวังที่จะลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่สามารถค้นพบวิธีการรักษาให้หายขาดได้ 100% แต่การพัฒนาที่ก้าวล้ำมากที่สุดในตอนนี้ คือการรักษาผู้ป่วยให้สามารถมีชีวิตร่วมกับเชื้อเอชไอวีได้อย่างปกติ และที่ขาดไม่ได้คือการพัฒนาชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ( HIV Self Test) ซึ่งมีส่วนช่วยในการตรวจคัดกรองเอชไอวีเบื้องต้นได้ง่ายดาย อีกทั้งยังเข้าถึงผู้เสี่ยงต่อการติดเชื้อในระดับครัวเรือนอย่างทั่วถึงมากขึ้นด้วยเช่นกัน ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองคืออะไร? ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ( HIV Self Test) คือ ชุดเครื่องมือที่ทางการแพทย์ที่ได้ออกแบบมาอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ที่ต้องการทราบผลเลือดได้สามารถตรวจด้วยตัวเองอย่างสะดวกรวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่านความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี แต่ไม่ต้องการหรือไม่สะดวกในการเข้ารับการตรวจคัดกรองยังสถานพยาบาล เนื่องจากต้องการความเป็นส่วนตัวมากกว่า ซึ่งชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองได้มีการพัฒนาขึ้นโดยมีจุดประสงค์ให้ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงการตรวจเอชไอวีได้ง่ายมากยิ่งขึ้น โดยชุดตรวจที่มีประสิทธิภาพจะต้องได้รับการรับรองจากองค์กรระดับสากลอย่างถูกต้อง ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองดีไหม น่าเชื่อถือหรือไม่?  ข้อสงสัยนี้ถือว่าเป็นหัวข้อสำคัญที่หลายคนให้ความสนใจอย่างมาก เนื่องจากไม่มั่นใจว่าการตรวจเอชไอวีด้วยตนเองนั้น จะมีความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพแม่นยำเช่นเดียวกับการตรวจภายในสถานพยาบาลหรือไม่ ประกอบกับสามารถพบเห็นการขายชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองผ่านทางอินเทอร์เน็ตมากมาย ซึ่งง่ายและราคาค่อนข้างถูกจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าความน่าเชื่อถือของชุดตรวจจะดีหรือไม่อย่างไร โดยจากการประกาศอย่างเป็นทางการของคณะกรรมการอาหารและยา รวมถึงประกาศของกระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี 2562 ได้ปลดล็อกชุดตรวจเอชไอวีให้จำหน่ายได้อย่างถูกต้องในประเทศไทย ทั้งนี้จะต้องขึ้นทะเบียนและมีคุณสมบัติต่าง ๆ ตามกำหนดอย่างเคร่งครัด หากผู้ที่ต้องการใช้งานชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองเลือกซื้อผ่านแหล่งจำหน่ายที่ได้มาตรฐานย่อมส่งผลให้ได้รับชุดตรวจที่เชื่อถือได้เช่นเดียวกัน สิ่งสำคัญคือคุณสามารถหาซื้อได้อย่างสะดวกไม่ต้องเดินทางไปตรวจให้เสียเวลา ไม่ต้องเสียความเป็นส่วนตัวทางด้านข้อมูลให้ลำบากใจอีกต่อไป ทั้งนี้ยังได้รับผลการตรวจที่แม่นยำเทียบเท่าการตรวจในสถานพยาบาลอีกด้วย ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองแตกต่างจากการตรวจที่สถานพยาบาลอย่างไร? ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง มีความแตกต่างจากการตรวจในสถานพยาบาล ในเรื่องของ การสอบถามประวัติ อาการ และความเสี่ยงที่ได้รับที่คาดว่าอาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินความเสี่ยงจากระยะเวลา…