รักษาหูดข้าวสุก ด้วยตัวเอง ทำได้หรือไม่

รักษาหูดข้าวสุก ด้วยตัวเอง ทำได้หรือไม่

หลายคนสงสัยว่าการ รักษาหูดข้าวสุก นั้นสามารถทำได้ด้วยตัวเองจริงหรือเปล่า ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทำได้ยากเพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าติดเชื้อมาตอนไหน และลักษณะของตุ่มก็มีความคล้ายคลึงกับโรคผิวหนังชนิดอื่นด้วย หากคิดจะ รักษาหูดข้าวสุก ควรทำการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้โดยตรงจะดีที่สุด ซึ่งวันนี้ เราจะมาแนะนำเรื่องเกี่ยวกับการรักษาหูดข้าวสุกและการป้องกันที่คุณควรรู้เพื่อจะได้ห่างไกลจากโรคนี้ได้ครับ

หูดข้าวสุก คือโรคอะไรกันแน่?

โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Molluscum Contagiosum Virus : MCV (มอลลัสคุม คอนทาจิโอซุมไวรัส) เป็นเชื้อไวรัสที่อยู่ในกลุ่มพอกซ์ไวรัส (Poxvirus) ที่มักพบในบริเวณผิวหนังชั้นนอกเท่านั้น โดยจะแบ่งออกเป็นไวรัส MCV 4 ชนิดย่อย แต่ชนิดที่ 1 จะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดหูดข้าวสุกได้มากกว่า 95% แลไวรัสนี้ไม่มีผลต่อระบบภายในร่างกาย รวมไปถึงไม่แพร่กระจายโดยการจามหรือไอ ถือเป็นโรคผิวหนังที่สามารถติดต่อกันได้ในทุกเพศทุกวัย ซึ่งเชื้อจะเข้าไปในบริเวณผิวหนังที่เป็นแผล ลอก แตก จนทำให้เกิดตุ่มเนื้อ และมีรอยนูนขนาดเล็กทั่วร่างกาย แต่จะไม่ขึ้นตุ่มที่ฝ่ามือฝ่าเท้า เหมือนกับโรคซิฟิลิส และไม่ได้ส่งผลต่อระบบอวัยวะภายในมากนัก

Love2test”></a></div>




<h2 class=อาการของโรคหูดข้าวสุก

ถึงแม้ว่า โรคนี้จะไม่ได้มีอาการที่รุนแรง แต่ทุกคนก็ควรได้รับการ รักษาหูดข้าวสุก ระยะฟักตัวตั้งแต่ได้รับเชื้อไวรัสนี้มาจะเกิดอาการประมาณ 14 วันขึ้นไป ถึง 6 เดือน โดยอาการที่อาจสังเกตพบได้ มีดังต่อไปนี้

  • มีตุ่มขนาดเล็ก ประมาณ 2–5 มิลลิเมตร สีเหมือนกับผิวธรรมชาติ หรือบางรายอาจมีสีขาวหรือชมพู
  • ลักษณะตุ่มผิวสัมผัสมีความเงา และเรียบ เป็นรูปทรงโดม หรือมีรอยบุ๋มตรงกลางตุ่ม หากกดหรือบีบจะมีเนื้อหูดเละสีขาวคล้ายข้าวสุกไหลออกมา
  • อาจพบเป็นตุ่มเดี่ยวกระจายทั่วร่างกาย หรืออยู่กระจุกกันเป็นกลุ่มหลายตุ่ม ที่บริเวณใบหน้า รอบดวงตา หน้าท้อง ลำตัว แขนขา ลำคอ ข้อพับ ขาหนีบ ต้นขาด้านใน อวัยวะเพศ เป็นต้น
  • ตุ่มที่เกิดขึ้นไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ หรือคัน แต่อาจมีอาการบวมแดง หรืออาการอักเสบร่วมด้วย
  • ในกลุ่มผู้ป่วยโรคหูดข้าวสุกที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ หรือมีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อการต้านทานต่อเชื้อไวรัสจะยิ่งทำให้ตุ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นและคงอยู่นาน ยากต่อการรักษา

เราติดโรคหูดข้าวสุกได้จากช่องทางไหน?

ไวรัสที่ทำให้เป็นโรคนี้จะติดต่อผ่านการสัมผัสโดนบริเวณที่มีเชื้อโดยตรงเป็นหลัก เช่น สิ่งของเครื่องใช้ที่มีเชื้อไวรัสนี้อยู่ (ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า รองเท้า อุปกรณ์กีฬา สระว่ายน้ำ อ่างน้ำสาธารณะ) หรือการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีหูดข้าวสุก ซึ่งนับได้ว่าโรคนี้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วยเช่นกัน

“Quicky"

การวินิจฉัยโรคหูดข้าวสุก

หากคุณสงสัยว่าจะเป็นโรคหูดข้าวสุก และทำการพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโรค ในเบื้องต้นแพทย์จะทำการซักประวัติและลักษณะอาการของโรคที่คุณกำลังเป็นอยู่ แล้วจึงเริ่มการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการร่วมด้วย เพื่อยืนยันผลการติดเชื้อไวรัสได้แม่นยำมากขึ้น ได้แก่

  • ตรวจบริเวณผิวหนังที่มีการติดเชื้อด้วยกล้องจุลทรรศน์
  • การขูดผิวหนัง และทำการเก็บตัวอย่างจากบริเวณรอยโรคไปตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ
  • หากพบว่ามีหูดข้าวสุกบริเวณอวัยวะเพศ อาจมีการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นๆ ด้วย

รักษาหูดข้าวสุก ทำได้อย่างไร?

ความจริงแล้ว ในผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดี คุณจะสามารถหายจากโรคหูดข้าวสุกได้เอง แม้ไม่ได้รับการรักษา ภายในครึ่งปีถึง 1 ปี แต่ร่างกายคนเรานั้น ก็ไม่อาจมองจากภายนอกอย่างเดียวได้ว่ามีความแข็งแรงแค่ไหน หากคุณไม่ได้รับการตรวจรักษา หูดข้าวสุกอาจจะยังคงอยู่ต่อเนื่องยาวนานกว่า 5 ปีเลยทีเดียว โดยการรักษาสามารถทำได้หลายวิธี หรือแพทย์อาจพิจารณาเลือกใช้หลายวิธีร่วมกัน ขึ้นอยู่กับขนาด จำนวน และตำแหน่งของหูดข้าวสุกที่เกิดขึ้น ดังวิธีต่อไปนี้

“ChatLove2test"
  • การใช้ยาทาที่มีฤทธิ์เป็นกรด เพื่อช่วยทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อ เช่น
    • ยาทาที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก
      • โพแทสเซียม ไฮดรอกไซด์
      • ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์
      • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์
  • การใช้ยาในรูปแบบเจล หรือครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์
    • ทาซาโรทีน
    • อะดาพาลีน
    • เตรติโนอิน
  • การจี้ด้วยความเย็น เป็นอีกรูปแบบของการใช้ไนโตรเจนเหลวที่มีความเย็นจัดในการทำลายหูด
  • การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ชนิดที่รักษาความผิดปกติของเส้นเลือดบนผิวหนังที่นิยมใช้

เพราะฉะนั้นการจะ รักษาหูดข้าวสุก ด้วยตัวเองจึงไม่ใช่สิ่งที่แพทย์แนะนำ เพราะอาจทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้ และมีความเสี่ยงต่อผิวหนังแสบ หรือระคายเคืองจากการรักษาผิดวิธี นอกจากนี้ หากไม่รู้ว่าติดเชื้อไวรัสใดกันแน่ การรักษาที่ไม่ตรงจุดจะทำให้เชื้อแพร่กระจายไปยังผู้อื่นโดยง่าย โดยขั้นตอนการรักษาและดูแลตัวเองในระหว่างที่เป็นหูดข้าวสุก ได้แก่

ห่างไกลโรคหูดข้าวสุก

การดูแลตัวเองในระหว่างที่เป็นหูดข้าวสุก

  • งดเว้นการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น รวมไปถึงของใช้สาธารณะ อุปกรณ์กีฬา หรือการลงสระว่ายน้ำ อ่างอาบน้ำสาธารณะเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส
  • ควรหาพลาสเตอร์มาปิดตุ่มหูดข้าวสุก หรือสวมเสื้อปกคลุมให้มิดชิดเพื่อป้องกันการแกะเกาและลดโอกาสสัมผัสเชื้อโดยตรง เพราะหากมีการถลอกจากการแกะเกาจะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย บางรายอาจเผลอนำมาขยี้ตาทำให้รอบดวงตาเกิดการติดเชื้อเพิ่ม
  • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ระวังไม่ให้คู่นอนสัมผัสโดนบริเวณแผลหูด แต่หากมีหูดบริเวณใกล้อวัยวะเพศก็ควรงดเว้นไปก่อนจนกว่าจะทำการรักษาหายขาดแล้ว

ห่างไกลโรคหูดข้าวสุกด้วยการ …

  • ลดโอกาสในการรับเชื้อ ด้วยการไม่สัมผัสเชื้อ และดูแลตัวเองตามหลักสุขอนามัยพื้นฐาน
  • ของใช้ส่วนตัวก็ควรเก็บไว้ใช้คนเดียว เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ชุดชั้นใน ไม่ควรใช้ร่วมกัน
  • หมั่นล้างมือบ่อยๆ ให้สะอาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะหลังการจับสิ่งของสาธารณะ
  • หัดสังเกตคู่นอนของตนเอง หากพบว่ามีหูดข้าวสุกบริเวณใกล้อวัยวะเพศ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์

สุดท้ายนี้ โรคหูดข้าวสุก และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ด้วยพฤติกรรมของคนที่มีความเสี่ยงจะเป็นโรคนี้ มักเปลี่ยนคู่นอนบ่อย และมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยเป็นประจำ จึงทำให้มีโอกาสสัมผัสกับรอยโรคได้โดยตรง เพราะฉะนั้น การหัดสังเกตอาการ และรอยโรคพร้อมทั้งหมั่นไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ จะช่วยให้คุณรู้ทันโรค และทำการรักษาได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องเกิดความเสี่ยงที่เชื้อจะแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ครับ

“PrEPLove2test"

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Similar Posts

  • กามโรคเป็นแล้วรักษาหายได้ไหม?

    กลุ่มโรคที่เกิดจากการติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรคหรือคนที่ติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทางทวารหนัก เดิมมีชื่อว่า กามโรค (venereal diseases) ในปัจจุบันมีการค้นพบโรคในกลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้นจึงเปลี่ยนชื่อเป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (sexually transmitted infections, STIs) โรคที่สำคัญคือ ซิฟิลิส หนองในแท้ หนองในเทียม เริม และเอชพีวี กามโรค (Venereal Disease)  คืออะไร กามโรค (Venereal Disease) คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) หรือการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) เป็นโรคที่แพร่เชื้อกันเมื่อมีเพศสัมพันธ์ทั้งการสอดใส่ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทำออรัลเซ็กส์ ซึ่งติดต่อจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสผิวหนังที่เป็นโรค หรือสัมผัสเลือด อสุจิ เมือกในช่องคลอด และของเหลวอื่น ๆ ที่มาจากร่างกาย ทั้งนี้ ไนซีเรีย เมนิงไจไทดิส เป็นเชื้อแบคทีเรีย ที่ก่อให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และโรคติดเชื้อเมนิงโกค็อกคัส หรือไข้กาฬหลังแอ่น  บ่อยครั้งเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ก่อให้เกิดอาการติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ เชื้อไนซีเรีย เมนิงไจไทดิส อยู่ในลำคอและโพรงจมูกทางด้านหลัง การแพร่เชื้อแบคทีเรียดังกล่าวไปยังคู่นนอน ผ่านการทำออรัลเซ็กส์…

  • โรคหนองใน สาเหตุ, อาการ, การรักษา

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ กลุ่มโรคที่เกิดจากการติดต่อผ่านทางเพศกับคนที่เป็นโรค หรือคนที่ติดเชื้อ ทั้งจากการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก และสามารถติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ ผ่านการถ่ายโอนเลือด หรือการใช้เข็มร่วมกันได้เหมือนกัน   โดยสามารแบ่งประเภทเชื้อที่เป็นต้นเหตุของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้น ๆ ได้แก่ เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส  เชื้อรา พยาธิ เป็นต้น โรคหนองใน (Gonorrhoea) คืออะไร? โรคหนองใน หรือโรคหนองในแท้ (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่พบได้บ่อยมากที่สุดอีกโรคหนึ่ง สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเพศหญิง และเพศชาย   เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า    ไนซีเรีย โกโนเรีย (Neisseria Gonorrhoea)  โดยเชื้อแบคทีเรีย ไนซีเรีย โกโนเรีย ชนิดนี้สามารถเจริญได้ดีในที่ชื้นและที่อบอุ่นของระบบอวัยวะสืบพันธุ์มนุษย์ตั้งแต่ปากมดลูก มดลูก ปีกมดลูก ท่อปัสสาวะ ซึ่งพบทั้งในผู้ชายและผู้หญิง และยังสามารถเจริญเติบโตได้ในบริเวณอื่น ๆ  ได้ เช่น ทวารหนัก เยื่อบุตา ช่องปากและคอ เชื้อจึงสามารถติดต่อทางปากได้ด้วย การติดเชื้อจะเริ่มจากการสัมผัสเยื่อบุช่องปาก ช่องคลอด ทวารหนัก…

  • ดูแลตัวเองอย่างไร ?…เมื่อเป็นโรคซิฟิลิส  

    โรคซิฟิลิสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า ทริปโปนีมา พัลลิดุม (Treponema Pallidum) จากการสัมผัสถูกเชื้อโดยตรงจากแผลของผู้ป่วย และระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ที่มักสุ่มเสี่ยงกับการติดเชื้อได้มากที่สุด จึงมักถูกจัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคซิฟิลิสคือ? ซิฟิลิส (Syphilis) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ทรีโพนีมาพาลลิดัม (Treponema pallidum)  โดยปกติจะติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้เกิดผื่นหรือแผลตามผิวหนัง และ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงขึ้นหากไม่รักษา โรคซิฟิลิส ติดต่อกันได้อย่างไร สามารถรับเชื้อซิฟิลิสได้ 3 ทาง คือ ทางเพศสัมพันธ์ โดยติดต่อผ่านทางเยื่อบุช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ติดต่อผ่านการสัมผัสแผลที่มีเชื้อ โดยผ่านทางผิวหนัง เยื่อบุตา ปาก จากแม่สู่ลูก โดยหากมารดาเป็นซิฟิลิส จะถ่ายทอดโรคนี้สู่ทารกในครรภ์ได้ โดยเรียกเด็กที่เป็นซิฟิลิสจากสาเหตุนี้ว่า ซิฟิลิสแต่กำเนิด (Congenital Syphilis) จะแสดงอาการหลังคลอดได้ 3-8 สัปดาห์ และเป็นอาการเล็กน้อยมาก จนแทบไม่ทันได้สังเกต เช่น มีตุ่มผื่นขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มาออกอาการมาก ๆ เข้าเมื่อตอนโต ซึ่งก็เข้าสู่ระยะที่สี่แล้ว หรือบางคนอาจแสดงอาการพิการออกมาให้เห็นได้ชัด อาการของซิฟิลิส แบ่งอาการออกได้เป็น 4 ระยะ…

  • | |

    มีเพศสัมพันธ์อย่างไรให้ปลอดภัย

    เรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องใหญ่ และสำคัญของทุกคน การป้องกันก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน การมีเซ็กส์ยังไงให้ปลอดภัย เพื่อการป้องกัน และลดความเสี่ยงการติดต่อของโรคทางเพศสัมพันธ์ Safe Sex คืออะไร  คือ การมีเซ็กซ์ หรือเพศสัมพันธ์กันอย่างปลอดภัย ซึ่งคนส่วนใหญ่คิดว่ามีเพียงแค่การใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ แต่ความจริงแล้วการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยมีมากกว่านั้น อย่างเช่น การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง หรือที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่าการช่วยตัวเอง ซึ่งวิธีอย่างหนึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ร้ายแรง หรือน่ารังเกียจ Safe Sex มีแบบไหนบ้าง? แบบที่ 1 ก่อนที่จะมี Sex กับใครได้โปรดตรวจเลือดเพื่อความชัวร์!  แม้ว่าเราจะมั่นใจในตัวเอง หรือไว้ใจในคู่นอนของเรามากแค่ไหน แต่การตรวจเลือดก่อนมีเพศสัมพันธ์ก็จะชัวร์และปลอดภัยมากกว่า เพราะการที่เราตรวจเลือดก่อนมีเพศสัมพันธ์ก็เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เราสามารถตรวจได้จากเลือดนั้นเอง เช่น โรคเอดส์ โรคซิฟิลิส หรือโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี ที่ติดแล้วรักษายากมาก ๆ ซึ่งสามารถตรวจได้ตามโรงพยาบาลทั่วไปเลย ฉะนั้นก่อนมีเพศสัมพันธ์เราอยากจะแนะนำให้ตรวจเลือดก่อนทุกครั้งเพื่อเขาเพื่อเราจะได้ปลอดภั ข้อดีของการใช้ถุงยางอนามัย สามารถป้องกันเราจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือการคุมกำเนิดได้ 100% ถ้าถุงยาง ไม่รั่ว ไม่ขาด ไม่หมดอายุ ฉะนั้นเช็กดี ๆ ก่อนสวม ราคาไม่แพง หาซื้อง่ายตามร้านสะดวกซื้อ เปิดขายกันตลอด…

  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted diseases)

    โรคที่ติดต่อจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งโดยผ่านการมีเพศสัมพันธ์ แล้วทำให้เกิดโรค ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยเฉียบพลัน ทำให้เกิดภาวะการมีบุตรยาก ทุพลภาพและอาจตายได้ ซึ่งมผลกระทบต่อภาวะสุขภาพกาย และจิตใจและสุขภาพที่รุนแรงต่อทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กได้ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ  โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted diseases: STD) คือกลุ่มโรคที่เกิดจากการติดต่อผ่านทางเพศกับคนที่เป็นโรค หรือคนที่ติดเชื้อ ทั้งจากการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก และสามารถติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ ผ่านการถ่ายโอนเลือด หรือการใช้เข็มร่วมกันได้เหมือนกัน การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์   การปฏิบัติตัวของผู้ที่เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ใครควรตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ตรวจจากอะไร? การตรวจสามารถทำได้หลายวิธี แพทย์จะเลือกการตรวจที่เหมาะสมที่สุดจากการซักประวัติ ซึ่งวิธีตรวจหลักๆ จะมีดังนี้ อ่านบทความอื่นๆ

  • เริมที่อวัยวะเพศ รักษาอย่างไร

    เริมที่อวัยวะเพศ เป็นหนึ่งในโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ หากคุณมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อ ซึ่งพบได้ทุกเพศทุกวัย ยิ่งเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน ที่มีโอกาสจะมีเซ็กส์กับคนแปลกหน้าได้ และทำให้ติดโรคเริมที่อวัยวะเพศมา ความน่ากลัวของเชื้อเริมนี้ คือ เมื่อคุณติดแล้วจะกลับมาเป็นซ้ำได้อีกเรื่อยๆ ไม่สามารถหายขาดได้อย่างสนิทใจสักที หากคุณไม่ทำการรักษาก็จริงลุกลามเป็นแผล ส่งผลให้รู้สึกขาดความมั่นใจได้ครับ เริมที่อวัยวะเพศ มีสาเหตุจากอะไร โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างเริมที่อวัยวะเพศนั้น จัดเป็นโรคที่เกิดจากไวรัสยอดฮิตที่ชื่อ เอชเอสวี (HSV : Herpes Simplex Virus) อ่านว่า เฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ ไวรัส แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ โรคเริมอวัยวะเพศ ส่งผลร้ายอย่างไร ถึงแม้โรคเริม จะไม่ได้ทำให้เกิดโรคร้ายแรงถึงชีวิต แต่หากมีแผลเริมที่อวัยวะเพศจะเป็นช่องทางที่ทำให้เชื้อโรคอื่นๆ เข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัสเอชไอวี เชื้อซิฟิลิส เชื้อไวรัสตับอักเสบบี เชื้อไวรัสตับอักเสบซี หนองในแท้ หนองในเทียม ฯลฯ ยิ่งหากเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อยู่ก่อนแล้ว ก็ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง อ่อนแอง่าย และเร่งให้เชื้อเริมกำเริบขึ้นมาบ่อยๆ ทั้งที่ทำการรักษาเรียบร้อยแล้วก็ตาม การรักษา เริมที่อวัยวะเพศ วิธีรักษาเริมที่อวัยวะเพศจะเน้นรักษาตามอาการ โดยจะใช้ทั้งยาชนิดรับประทานและยาทาไปพร้อมกัน โดยจะเป็นยาในกลุ่มต้านไวรัสชนิดที่ก่อให้เกิดโรคเริมที่อวัยวะเพศ เพราะไม่สามารถใช้ยารักษาไวรัสเริมที่เกิดบริเวณปากได้…