อะไรคือ เพร็พกับเป๊ป

อะไรคือ เพร็พกับเป๊ป

เพร็พกับเป๊ป นั้นมีความแตกต่างกันในแง่ของสถานการณ์การใช้งาน ยาเพร็พ (PrEP) หรือภาษาอังกฤษที่ว่า Pre-Exposure Prophylaxis คือ ยาที่ใช้รับประทานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนที่จะมีความเสี่ยง เรียกง่ายๆ ว่าเป็นยาที่ทานก่อนมีเซ็กส์นั่นเอง ส่วนยาเป๊ป (PEP) ภาษาอังกฤษเรียกว่า Post-Exposure Prophylaxis คือ ยาที่ใช้รับประทาน เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังมีความเสี่ยง หรือทานในกรณีฉุกเฉินไม่เกินระยะเวลา 72 ชั่วโมง ซึ่งตัวยาทั้งสองนี้ช่วยให้คนที่มีความเสี่ยงสูง ในการติดเชื้อเอชไอวี ได้รับการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย

เพร็พกับเป๊ป คืออะไร?

“Quicky"

คือ ยาชนิดรับประทานที่มีประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ ได้แก่

  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน
  • ใส่ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์แต่เกิดการแตกรั่ว
  • มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่มีผลเลือดบวก

ยาเพร็พ PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis)

คือ การใช้ยาเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ก่อน ที่จะมีความเสี่ยง ซึ่งมีตัวยาสำคัญใน 1 เม็ดประกอบไปด้วย Emtricitabine (FTC) ขนาด 200 มิลลิกรัม และ Tenofovir (TDF) ขนาด 300 มิลลิกรัม หลังจากที่คุณใช้เพร็พแล้ว ตัวยาจะออกฤทธิ์ ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี โดยต้องทานยานี้เป็นประจำทุกวัน ในเวลาเดียวกัน เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพอย่างเต็มที่

ใครบ้างที่ควรใช้ยาเพร็พ?

ผู้ที่ควรพิจารณาใช้ยาเพร็พ (PrEP) คือ ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อเอชไอวี เช่น

“Quicky"
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย
  • ผู้ที่มีคู่นอนติดเชื้อเอชไอวี หรือมีผลเลือดบวก
  • ผู้ที่มีประวัติเคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในอดีต
  • ผู้ที่มีการใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
  • ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายผ่านทางทวารหนักโดยไม่สวมถุงยางอนามัย

ยาเพร็พนี้ จะสามารถใช้ได้กับคนที่ยังไม่มีเชื้อเอชไอวีเท่านั้น และควรสวมถุงยางอนามัยควบคู่ไปกับการทานยานี้อย่างเคร่งครัด สิ่งที่ควรรู้ไว้ทั้ง เพร็พกับเป๊ป ไม่อาจป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ในผู้หญิง โรคติดเชื้อแบคทีเรีย และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ การสวมถุงยางอนามัยจึงมีความจำเป็นอย่างมาก

ใครบ้างที่ควรใช้ยาเพร็พ

จำไว้ว่ายาเพร็พจะมีประสิทธิภาพดี เมื่อรับประทานอย่างต่อเนื่องและถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์ สำหรับผู้ชายควรทานยาก่อนมีความเสี่ยงล่วงหน้า 7 วัน และผู้หญิงควรทานยาก่อนมีความเสี่ยงล่วงหน้า 20 วัน เพื่อให้ตัวยาได้คงอยู่ในกระแสเลือด และทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์

“ChatLove2test"

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อทานยาเพร็พ

การใช้ยาเพร็พอาจส่งผลข้างเคียงได้บ้าง ซึ่งเป็นอาการที่ไม่รุนแรง โดยพบบ่อย คือ

  • คลื่นไส้ ท้องเสีย น้ำหนักลดลง
  • ปวดศีรษะ และเวียนศีรษะ
  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย นอนไม่ค่อยหลับ
  • มีผื่นขึ้นตามร่างกาย

สำหรับผู้ที่มีประวัติเคยแพ้ยา หรือเคยมีปัญหาต่อเนื่องจากการใช้ทานยาเพร็พ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเริ่มใช้ และควรให้ข้อมูลตามจริงเกี่ยวกับประวัติการแพ้ยา หรือโรคประจำตัวอื่นๆ ที่เคยเป็นมาก่อน เพื่อป้องกันอาการแพ้ยาหรือผลข้างเคียงที่รุนแรง นอกจากนี้ การทานยาเพร็พ ยังต้องมีการติดตามผล และเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อยืนยันผลว่าคุณปลอดจากเชื้ออยู่ตลอดระยะเวลาที่ทานยา

“PrEPLove2test"

ยาเป๊ป PEP (Post-Exposure Prophylaxis)

คือ การใช้ยาเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี หลัง มีความเสี่ยง ซึ่งมีสูตรยาที่หลากหลายทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับแพทย์ผู้จ่ายยาว่าจะพิจารณาเลือกยาเป๊ปสูตรไหนให้คุณรับประทาน โดยจะต้องทานยาชนิดนี้หลังมีความเสี่ยงใน 72 ชั่วโมงและทานต่อเนื่อง เป็นการรักษาจำนวน 28 วันหรือตามแพทย์สั่ง

ใครบ้างที่ควรใช้ยาเป๊ป?

ผู้ที่ควรพิจารณาใช้ยาเป๊ป (PEP) คือ ผู้ที่มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีจาก:

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
  • การใช้เข็มฉีดยาเสพสารเสพติดร่วมกับผู้อื่น
  • การถูกล่วงละเมิดทางเพศ ข่มขืน หรือมีเพศสัมพันธ์ขาดสติ
  • การถูกเครื่องมือแพทย์ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีทิ่มตำหรือบาดมือ
  • สวมถุงยางอนามัยและเกิดการฉีกขาด หรือหลุดรั่ว ขณะมีเพศสัมพันธ์

อย่างไรก็ตาม ยาเป๊ปไม่เหมาะกับการใช้เป็นวิธีการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในระยะยาว การใช้ยาเป๊ปเองก็ไม่ได้รับการรับรองว่า จะสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้ 100% ดังนั้น การป้องกันตัวเองที่ถูกต้องไว้ก่อนแก้ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า หลังจากเริ่มรับประทานยาเป๊ปแล้ว ห้ามหยุดยาก่อนกำหนดโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะมีผลข้างเคียงหรือไม่ก็ตาม และควรกลับไปตรวจเอชไอวีอย่างน้อย 3 ครั้ง ในระยะเวลา 6 เดือน หลังจากทานยาเป๊ป เพื่อตรวจสอบว่ามีการติดเชื้อหรือไม่

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อทานยาเป๊ป

เป็นไปได้ว่ายาเป๊ป (PEP) อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ แต่ไม่ใช่กับทุกคนที่ใช้ยานี้ โดยผลข้างเคียงเหล่านี้จะไม่รุนแร และสามารถหายไปเองภายในไม่กี่วัน หลังจากเริ่มใช้ยาเป๊ป ได้แก่

  • ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ
  • มีอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย
  • รู้สึกอ่อนเพลีย น้ำหนักตัวลด เบื่ออาหาร

แต่หากผู้ใช้ยาเป๊ปมีอาการผิดปกติที่รุนแรงขึ้น เช่น มีผื่นขึ้น ปัสสาวะบ่อยหรือมีเลือดออก ควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจและการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากอาการเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณของอาการแพ้ยา หรือภาวะตับเสื่อม ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

ใช้ยาเป๊ปหลังมีความเสี่ยงทุกครั้งได้ไหม

ใช้ยาเป๊ปหลังมีความเสี่ยงทุกครั้งได้ไหม?

การที่จะทานยาเป๊ปทุกครั้ง หลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะยาเป๊ปเป็นการรักษาที่มีความเหมาะสมสำหรับผู้ที่เคยเผชิญกับความเสี่ยงทางเพศแล้ว ไม่ใช่วิธีการป้องกันทางเพศที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ทำกิจกรรมทางเพศโดยไม่มีการป้องกันอย่างเคร่งครัด การใช้ยาจำพวกนี้ ควรเน้นความปลอดภัยของสุขภาพเป็นสำคัญและใช้เมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น

รวมไปถึง การใช้ยาเป๊ปควรอยู่ภายใต้คำแนะนำ และการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่เป็นไปได้ และเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด อย่าลืมว่าการใช้ เพร็พกับเป๊ป ไม่ได้รับการรับรองว่าจะป้องกันโรคได้ 100% ดังนั้น การใช้มีความจำเป็นต้องคำนึงถึงความเสี่ยง และเป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์

อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

รักษาซิฟิลิส ไม่ต่อเนื่อง เสี่ยงอันตราย

รักษาหูดข้าวสุก ด้วยตัวเอง ทำได้หรือไม่

ถึงแม้ว่า เพร็พกับเป๊ป จะใช้ป้องกันเชื้อเอชไอวี เรียกว่าเป็นยารักษาที่ใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูงได้ ยาทั้งสองชนิดมีประสิทธิภาพสูงได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในการป้องกัน อีกทั้งยังเพิ่มความมั่นใจให้กับคนที่มีความเสี่ยง และช่วยลดความวิตกกังวล แต่อย่างที่เน้นย้ำไปข้างต้นว่า เพร็พกับเป๊ป ยังไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น เริม หนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส เป็นต้น คุณจึงควรให้ความสำคัญกับการป้องกันด้วยถุงยางอนามัยและหมั่นไป ตรวจคัดกรองเชื้อเอชไอวี เป็นประจำทุกปีครับ

Similar Posts

  • ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน หาซื้อได้ที่ไหน? คลินิก โรงพยาบาล และบริการใกล้คุณ

    การป้องกันเอชไอวีถือเป็นหัวใจสำคัญของสุขภาพทางเพศในยุคปัจจุบัน แต่ในบางครั้งสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดก็สามารถเกิดขึ้นได้ เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย ถุงยางฉีกขาดหรือหลุดโดยไม่ทันรู้ตัว การถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือแม้แต่การสัมผัสกับเลือดและเข็มฉีดยาที่อาจปนเปื้อนเชื้อเอชไอวี สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างความกังวลใจให้กับผู้ที่เผชิญเหตุการณ์ทันที คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นว่า “จะทำอย่างไรเพื่อลดความเสี่ยง?” คำตอบที่วงการแพทย์ยืนยันชัดเจนคือการใช้ ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน (Post-Exposure Prophylaxis หรือ PEP) บทความนี้จะเจาะลึกข้อมูลที่คุณควรรู้เกี่ยวกับยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน ตั้งแต่หลักการทำงาน เหตุผลที่ไม่สามารถซื้อได้ทั่วไป สถานที่ที่สามารถเข้ารับยา ขั้นตอนการเข้ารับบริการ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าหากเผชิญกับความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด จะสามารถปกป้องตัวเองได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องตามหลักการแพทย์ ความสำคัญของยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน ขั้นตอนการเข้ารับ ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน การเข้ารับบริการยาต้านเอดส์ฉุกเฉินมีขั้นตอนที่ชัดเจน เริ่มตั้งแต่การประเมินความเสี่ยงโดยแพทย์ หากมีความเสี่ยงสูง แพทย์จะพิจารณาให้เริ่มยาทันทีภายใน 72 ชั่วโมง พร้อมตรวจเลือดหาเอชไอวีและการติดเชื้ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง หลังจากนั้นผู้เข้ารับบริการต้องรับประทานยาต่อเนื่อง 28 วัน และกลับมาติดตามผลตามนัดหมาย เพื่อประเมินการตอบสนองของร่างกาย รวมถึงตรวจเลือดซ้ำเพื่อยืนยันผลการป้องกันเชื้อในช่วง 1 – 3 เดือนถัดมา โรงพยาบาลรัฐกับบริการยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลของรัฐถือเป็นสถานที่หลักในการให้บริการยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน (ER) ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ที่ได้รับความเสี่ยงสามารถไปที่แผนกฉุกเฉินเพื่อเข้ารับการประเมินและขอรับยาได้ทันที ข้อดีของโรงพยาบาลรัฐคือมีค่าใช้จ่ายที่ครอบคลุมสิทธิการรักษาของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิบัตรทอง…

  • | | | |

    15 เรื่องที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์

    ถึงแม้ว่าโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจะมีมานานมากแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังมีความรู้ความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี ทำให้ปัจจุบันต้องมีการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี หรือการเผยแพร่ความรู้ใหม่ ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง เอชไอวี คืออะไร เรื่องที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์ 1. โรคเอดส์ กับ เชื้อเอชไอวี เป็นคนละตัวกัน HIV คือ เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง  ส่วนโรคเอดส์ คือ โรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นหลังภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เชื้อเอชไอวีทำลาย 2. โรคเอดส์ ยังมีโอกาสรอดชีวิต ปัจจุบันยังไม่มียาที่รักษาโรคเอดส์ได้โดยตรง แต่ถ้าหากตรวจพบในระยะที่ยังเป็นการติดเชื้ออยู่ สามารถทานยาต้านไวรัส เพื่อไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำร้ายภูมิคุ้มกันในร่างกาย จนเกิดอาการความผิดปกติออกมา ดังนั้นหากตรวจพบเชื้อได้เร็ว ก็จะยิ่งควบคุมเชื้อไวรัสเอชไอวีได้ง่าย จนไม่เชื้อไม่พัฒนาเป็นโรคเอดส์ที่สมบูรณ์ โอกาสรอดก็มีสูงขึ้น และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติเหมือนคนทั่วไป 5. เชื้อเอชไอวีไม่ใช่ไข้หวัดที่จะติดต่อกันได้ง่าย 6. เชื้อเอชไอวีแพร่ผ่านการสัมผัส น้ำตา เหงื่อ น้ำลาย หรือปัสสาวะได้ จริง ๆ แล้ว เชื้อเอชไอวีไม่สามารถแพร่ผ่านการสัมผัส น้ำตา เหงื่อ น้ำลาย…

  • | |

    PEP ยาเป็ปกับสิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มทาน

    ในด้านของสุขภาพ ความรู้ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียว แต่มักเป็นสิ่งที่เราจะสามารถป้องกันความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ในโลกนี้มีสิ่งที่สำคัญแต่มักถูกมองข้ามไปเช่น PEP คือสิ่งที่มาพร้อมกับการป้องกันในปัญหาสุขภาพระดับโลกที่สำคัญนั่นคือเอชไอวี เป็ป ยังคงเป็นสิ่งที่จะสามารถต่อสู้กับเอชไอวีได้โดยให้การช่วยเหลือสำหรับบุคคลที่อาจได้รับการสัมผัสกับเชื้อไวรัส เป็ป เป็นวิธีการดูแลสุขภาพในช่วงเวลาหลังจากสัมผัสเชื้อเอชไอวีหรือหลังเกิดความเสี่ยง

  • |

    ความแตกต่างระหว่าง HIV-1 กับ HIV-2

    เชื้อไวรัสเอชไอวี  จัดเป็นไวรัสชนิด RNA ใน subfamily Lentivirinae มีเอนไซม์ที่เป็นลักษณะสำคัญ คือ เอนไซม์รีเวอร์สทรานสคริพเตส (Reverse transcriptase, RT)  สายพันธุ์ของเชื้อไวรัสเอชไอวี การวินิจฉัย ความแตกต่างทางพันธุกรรมระหว่าง HIV-1 และ HIV-2 หมายความว่า หากบุคคลทำการทดสอบ HIV-1 อาจตรวจไม่พบ HIV-2 สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV-2 มากขึ้น ผู้ให้บริการด้านการแพทย์อาจตรวจหาแอนติบอดีหรือแอนติเจนของ HIV-2 การรักษา ในการรักษาเอชไอวีผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพมักจะสั่งยาหลายชนิดที่เรียกว่าการรักษาด้วยยาต้านไวรัส การรับประทานยาเหล่านี้ทุกวันตามคำสั่งแพทย์ สามารถช่วยชะลอการลุกลามของเอชไอวีป้องกันการแพร่เชื้อและช่วยปกป้องระบบภูมิคุ้มกัน การบริการด้านการดูแลสุขภาพอาจกำหนดชุดยาที่แตกต่างกัน แต่ก็ยังติดตามความคืบหน้าของผู้ติดเชื้อในลักษณะเดียวกัน ซึ่งรวมถึงการตรวจปริมาณไวรั สและจำนวนเซลล์ CD4  ปริมาณไวรัส ผู้ที่ติดเชื้อ HIV-2 มักจะมีปริมาณไวรัสน้อยลง หรือมีไวรัสอยู่ในเลือดมากกว่าผู้ที่ติดเชื้อ HIV-1 เมื่อรวมกับจำนวนเซลล์ CD4 ซึ่งเป็นวิธีการระบุว่าระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงเพียงใดปริมาณไวรัส จะเป็นตัวบ่งบอกให้แพทย์ที่ทำการรักษาของผู้ติดเชื้อ ว่ายาต้านไวรัสเอชไอวีนั้นได้ผลดีเพียงใดต่อการรักษาผู้ติดเชื้อ อ่านบทความอื่นๆ อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ : Post Views: 1,554

  • | | |

    การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์กับแนวทางการรักษาในปัจจุบัน

    เชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus) คือ ไวรัสที่จะเข้าไปกัดกินทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง การติดเชื้อเอชไอวีแบ่งเป็น 4 ระยะ คือ 1) ระยะติดเชื้อเฉียบพลัน คือ ระยะที่รับเชื้อมาใหม่ๆ หรือช่วงระหว่าง 2-4 สัปดาห์ หลังจากติดเชื้อมา โดยผู้ติดเชื้อบางส่วนจะมีอาการคล้ายไข้หวัด มีอาการ มีไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดเมื่อยตามร่างกาย มีผื่น และปวดหัว อาการเหล่านี้เรียกว่า acute retroviral syndrome หรือ ARS เป็นอาการที่ร่างกายตอบสนองต่อการติดเชื้อเอชไอวี 2) ระยะไม่ปรากฏอาการ คือ เป็นระยะที่ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ จึงทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อให้กับบุคคลอื่นได้ง่ายโดยการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน เนื่องจากไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อ  อาจอยู่ในระยะนี้นานถึง 10 ปี แนวทางการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีในปัจจุบัน คือ การรักษาด้วยยาต้านเอชไอวีเท่านั้น เพราะช่วยในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อเอชไอวีในกระแสเลือด เมื่อจำนวนเชื้อลดลง  ร่างกายก็สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น   โอกาสในการเจ็บป่วยด้วยโรคฉวยโอกาสจึงลดลง เพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยส่วนมากสามารถทำงานและดำรงชีวิตตามปกติได้  และการเสียชีวิตจากโรคฉวยโอกาสก็เป็นไปได้น้อย จึงเป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลดีที่สุด…

  • | | |

    ยาเป๊ป (PEP) ยาต้านฉุกเฉินป้องกันเอชไอวี

    ยาต้านไวรัสเอชไอวีเป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งหรือต้านการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี ช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้สูงสุดถึง 99% หากมีการใช้อย่างถูกวิธี การทานยา เป๊ป(PEP) จะต้องทานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 1 เดือน และทานยาต้านไวรัสประกอบกัน 2-3 ชนิด ซึ่งเป็นวิธีเดียวกันกับผู้มีเชื้อเอชไอวี แต่ยาต้านไวรัสส่วนมาก มักมีผลข้างเคียง บางรายอาจมีอาการท้องเสีย ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน และอิดโรย โดยผลข้างเคียงนี้อาจมีอาการรุนแรงในบางราย จนทำให้เป็นสาเหตุของผู้ทานยา หยุดยาไปก่อนที่จะทานครบกำหนด สาเหตุที่ต้องรับยาเป๊ป ( PEP ) ยาเป๊ป (PEP) เป็นยาต้านฉุกเฉิน ในกรณีการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันและควรเก็บไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น และการรับยา PEP จะช่วยยับยั้งการกลายเป็นตัวไวรัสที่สมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ร่างกายของผู้ป่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันในการป้องกันก่อนจะแพร่กระจายในร่างกายได้ ดังนั้นจึงควรรับประทานยาให้เร็วที่สุด ต้องกินยาเป๊ป ( PEP ) นานแค่ไหน การกินยา PEP ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดจะต้องกินภายใน 72 ชั่วโมงหลังได้รับความเสี่ยง โดยกินอย่างสม่ำเสมอทุกวัน(กินเวลาเดิม) ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 28 วัน โดยสูตรยาที่กินจะมีทั้งแบบวันละครั้งและวันละ 2 ครั้ง…