โรคเอดส์ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ป้องกันได้ รักษาได้
|

โรคเอดส์ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ป้องกันได้ รักษาได้

“โรคเอดส์” หรือ AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นคำที่หลายคนเคยได้ยินมาตั้งแต่อดีต และในบางครั้งยังถูกใช้อย่างคลาดเคลื่อน จนเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคนที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ซึ่งเป็นไวรัสต้นเหตุของโรคเอดส์อย่างแท้จริง บางคนเข้าใจว่า HIV และเอดส์คือสิ่งเดียวกัน หรือเข้าใจว่าเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาได้และต้องเสียชีวิตในเวลาอันสั้น แต่ในความเป็นจริง ปัจจุบันความรู้ทางการแพทย์ได้พัฒนาไปไกลมาก บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจโรคเอดส์ อย่างถูกต้อง แยกให้ออกระหว่างการติดเชื้อ HIV กับการเป็นเอดส์ พร้อมทั้งพูดถึงวิธีการป้องกัน การรักษา และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพของผู้ที่ติดเชื้อ HIV ในปัจจุบัน

HIV และเอดส์ ต่างกันอย่างไร ?

“Quicky"

HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือไวรัสที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะไปทำลายระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 หากไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนเข้าสู่ระยะของโรคเอดส์

AIDS หรือ “โรคเอดส์” เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV ซึ่งภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอจนร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคฉวยโอกาสอื่น ๆ ได้ เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ หรือมะเร็งบางชนิด หากผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง ก็สามารถป้องกันไม่ให้เข้าสู่ระยะเอดส์ได้ตลอดชีวิต

อาการของ โรคเอดส์

อาการของ โรคเอดส์

ผู้ที่ติดเชื้อ HIV มักจะไม่มีอาการใด ๆ เป็นเวลาหลายปี หากไม่ได้รับการรักษา ภูมิคุ้มกันจะค่อย ๆ ลดลง และเริ่มมีอาการเมื่อเข้าสู่ระยะของโรคเอดส์ ซึ่งอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่

“Quicky"
  • น้ำหนักลดมากโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • มีไข้เรื้อรังหรือเหงื่อออกตอนกลางคืน
  • มีแผลในปากหรือช่องคลอดที่รักษาไม่หาย
  • มีปอดอักเสบบ่อย ๆ
  • ต่อมน้ำเหลืองโตเรื้อรัง
  • ติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น วัณโรค เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือมะเร็งบางชนิด

อาการเหล่านี้มักไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน และมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล การตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัย HIV จึงเป็นวิธีที่แน่นอนที่สุด

การวินิจฉัยและตรวจหา HIV

การตรวจ HIV ในปัจจุบันสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว ทั้งในโรงพยาบาล คลินิกเวชกรรม หรือคลินิกชุมชนที่ให้บริการโดยไม่เปิดเผยชื่อ นอกจากนี้ยังมีชุดตรวจ HIV ด้วยตนเองที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาที่ได้รับอนุญาต การตรวจควรทำภายหลังมีพฤติกรรมเสี่ยงอย่างน้อย 2 – 4 สัปดาห์ และอาจต้องตรวจซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์ หากพบว่าติดเชื้อ การตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจปริมาณไวรัส (Viral Load) และจำนวน CD4 จะช่วยประเมินสุขภาพของผู้ติดเชื้อ และวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำ

“ChatLove2test"

การรักษาผู้ติดเชื้อ HIV

ปัจจุบันผู้ติดเชื้อ HIV สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติหากได้รับการรักษาด้วย ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy หรือ ART) อย่างต่อเนื่อง ยานี้จะช่วยลดปริมาณไวรัสในร่างกายจนต่ำมากจนไม่สามารถตรวจพบได้ (Undetectable) และไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อไปยังผู้อื่นได้ (U=U: Undetectable = Untransmittable) ยาต้าน HIV ในปัจจุบันเป็นยากิน วันละ 1 เม็ด และสามารถรับได้ฟรีผ่านระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยมีสถานพยาบาลในทุกจังหวัดให้บริการ ทั้งโรงพยาบาลรัฐ คลินิกเฉพาะทาง และคลินิกชุมชนที่ทำงานร่วมกับภาคประชาสังคม

แนวทางการป้องกัน โรคเอดส์

แนวทางการป้องกัน โรคเอดส์

วิธีป้องกันการติดเชื้อ HIV และโรคเอดส์มีหลายวิธี ได้แก่

“PrEPLove2test"
  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำทุก 3 – 6 เดือน หากมีพฤติกรรมเสี่ยง
  • ใช้ยาป้องกันล่วงหน้า (PrEP) หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ชายรักชาย หรือผู้มีคู่นอนหลายคน
  • หากเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น ถุงยางแตก ควรใช้ยาต้านไวรัสฉุกเฉิน (PEP) ภายใน 72 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และเลือกรับบริการสัก/เจาะ จากร้านที่สะอาด ปลอดเชื้อ

ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ใช้ชีวิตได้เต็มศักยภาพ ไม่ต่างจากคนทั่วไป

ผู้ติดเชื้อ HIV ในปัจจุบันสามารถมีชีวิตที่ปกติ สุขภาพดี และมีอายุยืนได้เทียบเท่าคนทั่วไป หากได้รับการดูแลที่เหมาะสม มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากที่เรียนจบ ทำงาน แต่งงาน มีลูก และใช้ชีวิตโดยไม่มีใครรู้สถานะของตนเลยด้วยซ้ำ เพราะสิ่งสำคัญคือ “การตรวจพบเร็วและเริ่มรักษาเร็ว” นอกจากนี้ ยังมีชุมชน กลุ่มสนับสนุน และแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เปิดพื้นที่ให้ผู้ติดเชื้อได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ รับข้อมูลที่ถูกต้อง และเสริมพลังใจซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างสังคมที่ไม่มีการตีตรา

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับ โรคเอดส์

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับ โรคเอดส์

แม้จะมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับ HIV และโรคเอดส์ แต่ความเข้าใจผิดก็ยังคงมีอยู่ในสังคม เช่น บางคนยังเชื่อว่าโรคเอดส์สามารถติดต่อผ่านการจับมือ การใช้ช้อนส้อมร่วมกัน หรือการอยู่ใกล้ผู้ติดเชื้อ ซึ่งไม่เป็นความจริง การรู้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องจึงสำคัญมาก เพราะจะช่วยลดการตีตรา และสร้างสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน อีกความเข้าใจผิดคือมองว่าผู้ติดเชื้อ HIV ต้องมีสุขภาพไม่ดี หรือมีอาการเจ็บป่วยตลอดเวลา ทั้งที่ปัจจุบันคนที่อยู่ร่วมกับเชื้อสามารถมีสุขภาพแข็งแรงและใช้ชีวิตตามปกติได้ หากได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม

อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

“โรคเอดส์” ไม่ใช่จุดจบของชีวิต หากเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันและควบคุมได้ หากเราทำความเข้าใจอย่างถูกต้องและเลิกตีตราผู้ติดเชื้อ HIV การตรวจ การรักษา และการใช้ชีวิตร่วมกับเชื้อจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา และผู้ติดเชื้อจะได้รับโอกาสใช้ชีวิตอย่างเต็มศักยภาพ ไม่ต่างจากคนทั่วไป เราทุกคนมีบทบาทในการยุติการตีตราและลดการแพร่ระบาดของ HIV ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง สนับสนุนการตรวจเลือดโดยไม่อาย หรือเปิดใจรับฟังโดยไม่มีอคติ

อ้างอิง

  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2566). สถานการณ์และแนวทางการป้องกันโรคเอดส์ในประเทศไทย. https://ddc.moph.go.th
  • ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย. (2566). ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับ HIV และโรคเอดส์. https://www.trcarc.org

Similar Posts

  • หูดหงอนไก่ (Genital warts)

    หูดหงอนไก่ (Genital warts) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นตุ่มๆ มีผิวขรุขระคล้ายหงอนไก่ ขึ้นที่บริเวณอวัยะเพศ สามารถพบได้ทั้งในชายและหญิง สาเหตุหลักพบว่า 90% มาจากการติดเชื้อไวรัส (Human Papilloma Virus : HPV) หูดหงอนไก่สาเหตุมาจากอะไร ? สาเหตุของหูดหงอนไก่ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV) ซึ่งในปัจจุบันพบว่ามีเชื้อชนิดนี้กว่า 200 สายพันธุ์ย่อย บางสายพันธุ์ทำให้เกิดหูดที่ผิวหนัง บางสายพันธุ์ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ บางสายพันธุ์ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในระบบสืบพันธุ์และทางเดินอุจจาระ สำหรับเชื้อที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่นั้น พบว่าประมาณ 90% เกิดจากสายพันธุ์ย่อย 6 และ 11 อาการหูหงอนไก่

  • | | |

     ยาต้านไวรัสเอชไอวี

    เอชไอวี คือ เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่จำเป็นต้องป่วยเป็นโรคเอดส์เสมอไป หากมีการติดเชื้อเอชไอวีแล้วนั้นเชื้อจะอยู่ในร่างกายผู้ติดเชื้อตลอดไป  ซึ่งจะใช้ช่วงก่อนหรือหลังจากการสัมผัสเชื้อ HIV สำหรับยาที่รับประทานเพื่อลดความเสี่ยงก่อนการติดเชื้อนั้น เรียกว่ายา PrEP ซึ่งย่อมาจาก Pre-Exposure Prophylaxis (ยาต้านก่อนเสี่ยง) และยาที่รับประทานเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังจากสัมผัสเชื้อนั้น เรียกว่ายา PEP โดยย่อมาจาก Post -Exposure Prophylaxis (ยาต้านฉุกเฉิน) ยาต้านหรือยารักษา HIV มีกี่แบบ ปัจจุบันยาต้าน ยารักษา HIV หรือที่เรียกว่ายา Antiretroviral (ARV) นั้นที่ใช้กันนั้น ดังนี้ ในประเทศไทย ยาเพร็พมีให้บริการอย่างแพร่หลาย และประชาชนสามารถเข้าถึงได้ผ่านผู้ให้บริการด้านสุขภาพ คลินิก และองค์กรต่าง ๆ ดังนี้: ยาต้านไวรัส HIV ราคาเท่าไหร่ ยาต้านไวรัส HIV ต้องทานตอนไหน และการปฏิบัติตัวหลังทานยาต้าน การทานยาต้านแต่ละตัวนั้นมีความแตกต่างกันตามกลุ่มของยา โดยแพทย์จะเป็นผู้แนะนำให้ให้คำปรึกษาในการรับยาพิจารณาจากผลการตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการว่าผู้ป่วยเหมาะสมกับยาสูตรใดชนิดใด  ซึ่งต้องใช้ตัวยาร่วมกัน 3 ชนิด หรือเรียกว่า Highly…

  • | | |

    โรคติดเชื้อฉวยโอกาส ที่พบได้มากในผู้ติดเชื้อเอชไอวี

    โรคติดเชื้อฉวยโอกาส หรือภาวะแทรกซ้อน คือ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยโรคเอดส์ จะมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาส หรืออาการภาวะแทรกซ้อนระยะเริ่มต้น คือ ผิวหนังเป็นเริม งูสวัสดิ์ ฝี เชื้อรา ผื่น กลากเกลื้อน แผลเรื้อรัง ลิ้นเป็นฝ้าขาว แบบโรคเชื้อรา เป็นไข้ และไอเรื้อรัง แบบวัณโรคปอด เป็นไข้ ไอ หอบ แบบปอดอักเสบ เป็นไข้ ปวดศีรษะรุนแรง อาเจียน คอแข็ง ก้มไม่ได้ (ก้มยาก) แบบเยื่อหุ้มสมองอักเสบ แขน ขา ชา อ่อนแรง แบบไขสันหลังอักเสบ ซีด มีจุดแดง จ้ำเขียว หรือเลือดออก แบบโรคเลือด ท้องเดินเรื้อรัง แบบมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคติดเชื้อฉวยโอกาส หรือภาวะแทรกซ้อน ที่อาจพบได้ และค่อนข้างเป็นอันตราย ได้แก่

  • PrEP ซื้อที่ไหน ราคาเท่าไร? รวมคำตอบที่ควรรู้

    ในยุคที่การป้องกันเอชไอวี (HIV) มีความสำคัญอย่างยิ่ง PrEP หรือ Pre-Exposure Prophylaxis ได้กลายเป็นทางเลือกที่หลายคนให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นยาต้านไวรัสที่ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อได้เกือบ 100% หากใช้ถูกต้องและต่อเนื่อง การมีข้อมูลที่ถูกต้องว่า PrEP ซื้อที่ไหน และราคาเท่าไร จึงเป็นคำถามสำคัญที่ผู้คนจำนวนมากอยากได้คำตอบอย่างชัดเจน การหาซื้อ PrEP ไม่ใช่แค่การซื้อยา แต่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย คุณภาพของยา การดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง และค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม บทความนี้จะอธิบายทุกประเด็นที่คุณควรรู้ ตั้งแต่พื้นฐานของ PrEP ความสำคัญ ราคา ช่องทางซื้อ ไปจนถึงปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนเริ่มใช้ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าทุกการตัดสินใจจะเป็นไปอย่างรอบคอบและปลอดภัย ยา PrEP คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ นอกจากนี้ การติดตามผลทุก 3 เดือนถือเป็นหัวใจสำคัญของการใช้ PrEP เพราะช่วยให้มั่นใจว่าผู้ใช้ยังคงปลอดจากเชื้อเอชไอวี รวมถึงช่วยประเมินผลข้างเคียงจากการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง การมีแพทย์คอยกำกับดูแลจึงไม่เพียงแค่ทำให้การใช้ PrEP ปลอดภัยยิ่งขึ้น แต่ยังทำให้ผู้ใช้ได้รับการดูแลสุขภาพในภาพรวมอย่างครบถ้วนอีกด้วย ราคา PrEP ในประเทศไทย ค่าใช้จ่ายในการรับบริการ PrEP (เพร็พ) ในประเทศไทย จะแตกต่างกันไปตามสถานพยาบาล รวมถึงการสนับสนุนจากโครงการด้านสุขภาพต่าง…

  • | | | |

    การทำความเข้าใจกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่เป็นกลุ่ม U=U

    เมื่อเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าไปสู่ร่างกาย จะเข้าทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้ามาสู่ร่างกาย จึงทำให้ผู้ป่วยมีระบบภูมิคุ้มกันที่ต่ำลงจนในที่สุด ร่างกายของผู้ป่วย ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้าไปสู่ร่างกายได้ และอาจเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสได้ เช่น วัณโรค เชื้อรา ปอดบวม เป็นต้น โดยส่วนมากผู้ป่วยจะมีปริมาณของไวรัส ในเลือดมากกว่า 200-1,000 ตัว ต่อซีซีของเลือด แต่ะเมื่อได้เข้ารับการรักษา ทำให้มีปริมาณของเชื้อไวรัส ในเลือดต่ำกว่า 50 ตัวต่อซีซีของเลือด โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว เราจะเรียกกันว่า ตรวจไม่เจอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เชื้อที่อยู่ภายในร่างกายได้หมดไปแล้ว เพียงแต่ จะมีปริมาณที่เหลือน้อยมาก ๆ จนทำให้ตรวจไม่เจอ U=U คืออะไร ตรวจเอชไอวี ไม่เจอ เป็นเพราะอะไร การที่จะสามารถแพร่เชื้อเอชไอวีได้นั้น จะต้องมีปริมาณของเชื้อไวรัสมากพอสมควร คือ ต้องมีปริมาณไวรัสในเลือดตั้งแต่ 200 – 1,000 copies/ซีซีของเลือด จึงจะสามารถแพร่เชื้อได้  กรณีที่จะตรวจไม่พบเชื้อเอชไอวี มีดังนี้ 1. กรณีตรวจเอชไอวี…

  • | | |

    ทำความเข้าใจก่อนใช้ยาเพร็พ และยาเป๊ป

    สิ่งสำคัญของยาต้านไวรัสเอชไอวีคือ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี ทั้งก่อนและหลังการสัมผัสเชื้อ หากพูดถึงวิธีป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี คนส่วนใหญ่จะนึกถึงการสวมถุงยางอนามัย ซึ่งเป็นวิธีป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อที่ปลอดภัย และลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ PrEP & PEP ทำงานอย่างไร? กลไกของยา PrEP จะไปสะสมอยู่ในเม็ดเลือดขาวในเลือดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งอวัยวะที่เป็นช่องทางเข้าของเชื้อเอชไอวี เช่น ช่องคลอด ปากมดลูก ปากทวารหนัก เยื่อบุอวัยวะสืบพันธุ์ชาย ฯลฯ เมื่อเชื้อเอชไอวี เข้าไปในร่างกายในช่องทางดังกล่าว เชื้อก็จะถูกยาที่สะสมอยู่ก่อนหน้านั้นยับยั้งไม่ให้แบ่งตัว จึงสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ได้ แต่ก่อนจะเริ่มกินยา PrEP ต้องมีการตรวจเลือดให้แน่ใจก่อนว่าไม่ได้ติดเชื้อมาก่อน หรือมีผลเลือดเป็นลบ และต้องตรวรค่าการทำงานของไต ซึ่งไม่จำเป็นต้องกินยาตลอดชีวิต แต่กินยาเฉพาะช่วงที่คิดว่าจะตัวเองจะมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อ PEP ยาต้านไวรัสไอวีที่ช่วยลดโอกาสในการสร้างไวรัสเอชไอวีในร่างกายหลังจากที่ร่างกายได้รับการสัมผัสเชื้อ ซึ่งมาจากหลายรูปแบบ อาทิ การมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ป้องกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรืออุบัติเหตุจากการโดนเข็มฉีดยาตำ เป็นต้น PrEP & PEP เหมาะกับใคร ใครบ้างที่ควรได้รับยา PrEP เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีสูง  PEP เหมาะสำหรับผู้ที่คาดว่ามีการสัมผัสเชื้อเอชไอวี มาภายในระยะเวลาไม่เกิน 72…