การตรวจเอชไอวี

หากพูดถึง การตรวจเอชไอวี (HIV) หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวและหลายคนเข้าใจผิด คิดว่าการตรวจเอชไอวี (HIV) นั้นยุ่งยาก ทำให้ไม่กล้ามาตรวจเพราะกลัว แต่จริงๆ แล้วการตรวจเอชไอวี HIV นั้นง่ายมาก เพียงแค่เจาะเลือดและรู้ผลได้เร็ว ที่สำคัญคนไทยทุกคน มีสิทธิตรวจฟรีถึงปีละ 2 ครั้ง แม้แต่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ก็สามารถเข้ารับการตรวจได้โดยไม่ต้องมีผู้ปกครองอีกด้วยทำให้การตรวจเอชไอวี (HIV) นั้นง่ายและสะดวกกว่าเดิม

เอชไอวี คืออะไร?

“Quicky"

เอชไอวี ย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus คำว่า “ภูมิคุ้มกันบกพร่อง” หมายความว่าเชื้อไวรัสชนิดนี้ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆและทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันทำให้ร่างกายของคนเราสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อต่างๆได้ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงเรื่อยๆ ในที่สุดทำให้ผู้ที่ติดเชื้อเอช ไอ วีจะไม่สามารถต้านการติดเชื้อต่างๆได้ เช่น วัณโรคหรือมะเร็ง: เราเรียกภาวะนี้เรียกว่า ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์

ระยะของการติดเชื้อเอชไอวี

การติดเชื้อเอชไอวีมีทั้งหมด 3 ระยะ โดยแต่ละระยะมีอาการที่แตกต่างกันไป ดังนี้

  • ระยะเฉียบพลัน เป็นระยะที่เกิดขึ้นในช่วง 2-4 สัปดาห์หลังจากติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยในระยะนี้จะมีเชื้ออยู่ในเลือดเป็นจำนวนมาก และแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ง่าย ในช่วงแรกอาจมีอาการคล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นการตอบสนองของร่างกายจากการติดเชื้อ โดยอาจมีอาการดังนี้
    • มีไข้
    • เจ็บคอ
    • ปวดศีรษะ
    • หนาวสั่น
    • อ่อนเพลียมากผิดปกติ
    • ต่อมน้ำเหลืองบวม
    • มีผื่นแดงและนูนที่ผิวหนัง
    • ปวดกล้ามเนื้อ
  • ระยะอาการสงบ เป็นระยะที่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกาย แต่มีอัตราการเพิ่มจำนวนของเชื้ออยู่ในปริมาณต่ำ ทำให้ผู้ป่วยอาจไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาให้เห็น แต่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้หากไม่ระมัดระวัง ทั้งนี้ ระยะอาการสงบนี้อาจเกิดขึ้นเป็นเวลายาวนานกว่า 10 ปี ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคล เพราะผู้ป่วยในระยะอาการสงบบางรายอาจต้องรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอเพื่อควบคุมอาการและลดโอกาสในการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
  • ระยะเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome: AIDS) หากผู้ป่วยไม่รับประทานยาหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้เชื้อเอชไอวีเพิ่มจำนวนขึ้นและทำลายภูมิคุ้มกัน เป็นเหตุให้อาการของผู้ป่วยเข้าสู่ระยะเอดส์ซึ่งเป็นระยะที่มีความรุนแรงที่สุดในการติดเชื้อเอชไอวี เพราะมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคฉวยโอกาส เช่น แบคทีเรียหรือเชื้อรา โดยอาการในระยะเอดส์ที่มักพบ มีดังต่อไปนี้
  • มีอาการหนาวสั่น และเหงื่อออกในเวลากลางคืน
  • มีไข้สูงกว่า 37.8 องศาเซลเซียสติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • มีจุดสีขาวภายในช่องปาก
  • เกิดผื่นสีน้ำตาล แดง ม่วงหรือชมพู
  • อ่อนเพลียอย่างรุนแรง
  • มีแผลบริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนัก
  • น้ำหนักลดลงผิดปกติ
  • มีอาการไออย่างต่อเนื่องและมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ
  • ปอดบวม
  • ปวดศีรษะเรื้อรัง
  • มีปัญหาเรื่องความจำ

ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่เข้าสู่ระยะเอดส์ต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะหากไม่รักษาจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิต โดยคาดการณ์ว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาจะมีชีวิตอยู่ได้หลังจากเข้าสู่ระยะเอดส์ประมาณ 3 ปีเท่านั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ

“Quicky"

ใครบ้างที่ควรเข้ารับการตรวจเอชไอวี

การตรวจเพื่อให้เกิดความมั่นใจได้ว่าเราได้รับเชื้อหรือไม่ หากไม่ได้รับเชื้อจะได้รู้สึกสบายใจ แต่หากพบว่าตัวเองเสี่ยงติดเชื้อจะได้สามารถรักษาอาการได้โดยเร็ว โดยกลุ่มคนที่ควรเข้ารับการตรวจเอชไอวี ได้แก่ ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีความเสี่ยง หญิงตั้งครรภ์ ทารกที่คลอดโดยแม่ที่มีความเสี่ยง และ ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ

ขั้นตอนการตรวจเอชไอวี

ขั้นตอนที่ 1

หากพบว่าตัวเอง หรือ คนใกล้เคียงมีความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวี ให้รีบติดต่อโรงพยาบาล หรือ คลินิคนิรนาม เพื่อเข้ารับการตรวจ

“ChatLove2test"

ขั้นตอนที่ 2

เมื่อเดินทางไปถึงสถานที่ตรวจ ทางสถานตรวจจะมีการพาเข้าไปพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพูดคุยประเมินความเสี่ยง และเซ็นชื่อในใบยินยอมเพื่อตรวจเอชไอวี โดยใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที

ขั้นตอนที่ 3

ทางแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะมีการพิจารณาว่าคุณมีความเสี่ยงมากี่วันแล้ว และเหมาะสมที่จะเข้ารับการตรวจโดยรูปแบบใด โดยทุกวิธีที่มีการเจาะเลือดเพื่อตรวจเอชไอวี ไม่ต้องงดน้ำ งดอาหารก่อนเข้ารับการตรวจ

“PrEPLove2test"

ขั้นตอนที่ 4

ฟังผลการตรวจ ซึ่งระยะเวลาโดยส่วนใหญ่จะสามารถทราบภายในวันที่เดินทางเข้ารับการตรวจ ขึ้นอยู่กับสถานที่รับการตรวจ

ขั้นตอนที่ 5

ในขั้นตอนสุดท้ายทางแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญ จะให้คำแนะนำในกรณีที่

  • ผลเลือดเป็นลบ หรือ non-reactive แสดงว่าผู้เข้ารับการตรวจไม่มีเชื้อ หรืออาจยังไม่พบเชื้อ เนื่องจากอยู่ในระยะฟักตัว แนะนำให้มาตรวจซ้ำอีกครั้งในระยะ 3-6 เดือน และใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • ผลเลือดเป็นบวก หรือ reactive เจ้าหน้าที่จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเอง และส่งต่อเพื่อเข้าสู่ระบบการรักษาและรับยาต่อไป ซึ่งสามารถใช้สิทธิการรักษาและส่งต่อเพื่อเข้าสู่ระบบการรักษาและรับยาได้ฟรีที่โรงพยาบาลของรัฐและเอกชนตามสิทธิ (ประกันสังคมหรือหลักประกันสุขภาพ)

การตรวจเอชไอวีมีกี่แบบ

ในปัจจุบันที่นิยมตรวจกันจะมีทั้งหมด 4 รูปแบบ คือ

  1. การตรวจแบบ Anti-HIV​​​​  สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงในช่วงระยะเวลานานกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา โดยการตรวจหาภูมิคุ้มกัน (antibody) ของร่างกายที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองการที่มีเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย สามารถให้ผลได้ใน 1-2 ชั่วโมงหลังการตรวจ ซึ่งผลที่ได้จะเป็นผลที่ย้อนหลังไปประมาณ 1 เดือนก่อนหน้านี้
  2. การตรวจแบบ NAT (Nucleic Acid Testing) การหาสารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวี หรือแกนในของเชื้อ เป็นวิธีที่มีความไวที่สุด สามารถชี้วัดผลจากร่างกายย้อนหลังไปประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังจากที่ได้รับความเสี่ยง วิธีนี้ใช้ในการตรวจคัดกรองเลือดผู้บริจาคโลหิต แต่ยังไม่นำมาใช้ในการตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อเอชไอวีในสถานพยาบาล
  3. การตรวจแบบ Rapid HIV Test ใช้เวลาในการรอผลเพียง 20 นาทีเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะได้ผลตรวจที่เร็วกว่าวิธีอื่น ๆ แต่ก็เป็นเพียงการตรวจเพื่อคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น แม้ว่าผลตรวจจะออกมาเป็นบวก (พบเชื้อ HIV) ผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการตรวจซ้ำอีกครั้งด้วยวิธีการอื่นเพื่อยืนยัน
  4. การตรวจหาแอนติเจนของเชื้อเอชไอวี หรือ เรียกอีกชื่อว่า การตรวจแบบ NAAT – Nucleic Acid Amplification Testing สามารถตรวจได้ภายหลังการติดเชื้อประมาณ 14-15 วัน

ทำไมต้องตรวจเอชไอวี

ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวี ควรรีบเข้ารับการตรวจคัดกรองเพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อ เนื่องจากการวินิจฉัยแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความกังวลใจ นอกจากนี้ถ้าผู้รับการตรวจติดเชื้อเอชไอวี จะทำให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง รวดเร็ว ได้รับทราบข้อมูลในการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รวมถึงเทคนิคในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคเพื่อ ลดความเสี่ยงที่จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีและนำไปสู่ผู้ป่วยโรคเอดส์เต็มขั้น

ตรวจเอชไอวีได้ที่ไหนบ้าง

การตรวจเอชไอวีในไทยนั้น สามารถตรวจได้ฟรี ปีละ 2 ครั้ง ที่โรงพยาบาลรัฐ ศูนย์อนามัย คลินิกที่ร่วมรายการ แต่ควรโทรสอบถามก่อนล่วงหน้า เพื่อความมั่นใจว่าสามารถตรวจได้ฟรีจริงหรือไม่   หรือคลินิกพิเศษต่างๆ เช่น คลีนิคนิรนาม หรือคลินิกพิเศษของศูนย์ดรอปอินต่าง ๆ เป็นต้น ผู้ที่สนใจสามารถตรวจสอบรายชื่อสถานบริการที่เข้ารับบริการ เพื่อดูวัน เวลา และสถานที่ให้บริการ บริการที่มี และเงื่อนไขการให้บริการต่าง แต่ทางเลือกอีกทางสำหรับผู้ที่ ไม่ต้องการเดินทาง ไปตรวจที่สถานพยาบาลเลย แค่เพียงไม่มั่นใจ ว่าได้รับความเสี่ยงมา จริงหรือไม่ คุณสามารถซื้อ ชุดตรวจคัดกรองเอชไอวีด้วยตนเอง มาตรวจก่อนได้  ซึ่งการแปลผล จะสามารถบอกได้ว่าคุณเสี่ยง หรือไม่เสี่ยง

ตรวจเอชไอวีราคาเท่าไร

  • คลินิกนิรนาม ตรวจแบบรู้ผลทันทีจะเริ่มต้นที่ 200 บาท ตรวจด้วยวิธี PCR เริ่มต้นที่ 1,500 บาท
  • ตรวจที่ LAB ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 500-2,500 บาท ขึ้นอยู่กับวิธีการตรวจ(รู้ผล 1 สัปดาห์)
  • โรงพยาบาลเอกชน ค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ประมาณ 600-3,000 บาท
  • โรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลของรัฐที่เข้าร่วมโครงการ และสามารถตรวจเอชไอวีได้ฟรี ปีละ 2 ครั้ง เพียงมีบัตรประชาชน และทั้งนี้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ก็สามารถ ตรวจ HIV ฟรี ได้โดยไม่ต้องขออนุญาต จากผู้ปกครอง ไม่ต้องอดข้าว อดน้ำ ก่อนไปตรวจ

ปัจจุบันมีหน่วยงานต่างๆ ที่คอยช่วยพัฒนาวิธีการตรวจเอชไอวีให้สะดวกสบาย รวดเร็ว แต่สิ่งสำคัญที่สุดในการตรวจ คือ การเตรียมความพร้อมของผู้ตรวจ กล้าที่จะเข้ารับการตรวจ เพราะยิ่งเข้ารับการตรวจได้เร็วเท่าไหร่ ยิ่งช่วยให้คุณสามารถวางแผนการใช้ชีวิตต่อไปได้เร็วขึ้น

อ่านบทความอื่นๆ

Similar Posts

  • ติดเชื้อ HIV ดูแลตัวเองอย่างไร

    การตรวจพบว่าตัวเอง ติดเชื้อ HIV และต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเชื้ออาจเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ติดเชื้ออย่างมาก แต่ด้วยการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่มีสุขภาพดีได้ เพราะการดูแลตนเองเมื่อ ติดเชื้อ HIV เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวม และการจัดการสภาพร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้ นำเสนอเคล็ดลับและกลยุทธ์ที่จำเป็น เพื่อนำทางชีวิตในฐานะบุคคลที่ ติดเชื้อ HIV ตั้งแต่การเข้าสู่กระบวนการรักษาพยาบาลและการทำความเข้าใจตัวเลือกการรักษา ไปจนถึงการใช้พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ การป้องกันการแพร่เชื้อ การจัดการสุขภาพจิตและอารมณ์ที่ดี ตลอดจนการเข้าถึงแหล่งข้อมูล การสนับสนุนที่จำเป็นเพื่อช่วยให้ผู้ ติดเชื้อ HIV มีความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นในการดำรงชีวิตและมีความสุขขณะใช้ชีวิตร่วมกับเชื้อเอชไอวีได้ โดยการน้อมรับแนวทางปฏิบัติในการดูแลตนเองและการรับทราบข่าวสารที่เกี่ยวข้อง

  • CD4 สำคัญอย่างไรกับผู้ติดเชื้อ HIV?

    HIV เป็นเชื้อไวรัสที่จะทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค และเชื้อไวรัสต่าง ๆ เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาว ถูกทำลายจนอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะถูกเชื้อไวรัสเอชไอวีโจมตีจนไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้และก่อให้พัฒนาจนกลายเป็นโรคเอดส์ (AIDS) เต็มขั้น การตรวจวัดจำนวน CD3/CD4/CD8 ในกระแสเลือด ซึ่งเป็น CD ที่มีความจำเพาะกับเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันชนิดที่ต้องมีการกระตุ้น ( Adaptive Immune Response ) คือ กลุ่มเม็ดเลือดขาว ชนิดที่สร้างแอนติบอดี ( B cells ) หรือ กลุ่มเม็ดเลือดขาวที่เป็นหน่วยความจำ ( T cells ) และมีความสำคัญต่อการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย CD4 คืออะไร? CD4 cells ย่อมาจากคำว่า Cluster of Differentiation 4 บางครั้งถูกเรียกว่า T-cells หรือ T-helper cells  เชื้อเอชไอวีเริ่มยึดเกาะเข้ากับผนัง CD4 โดยใช้หนามที่มีอยู่รอบ ๆ เซลล์แทงยึดที่เต้ารับของ…

  • ทำไม คุณแม่ตั้งครรภ์ ต้องตรวจ HIV

    การตรวจ HIV สำหรับ คุณแม่ตั้งครรภ์ เป็นวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ HIV จากแม่ไปยังลูกน้อย ในช่วงระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอด หรือการให้นมบุตรได้ ซึ่งประเภทของการแพร่เชื้อชนิดนี้ เรียกว่า การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก ในบทความนี้ เราจะบอกเหตุผลที่ทำไม คุณแม่ตั้งครรภ์ หรือผู้ที่วางแผนจะมีบุตร จำเป็นต้องได้รับการตรวจ HIV รวมไปถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการแพร่เชื้อนี้ และมีขั้นตอนใดที่สามารถทำ เพื่อลดความเสี่ยงที่อันตรายได้

  • |

    ความแตกต่างระหว่าง HIV-1 กับ HIV-2

    เชื้อไวรัสเอชไอวี  จัดเป็นไวรัสชนิด RNA ใน subfamily Lentivirinae มีเอนไซม์ที่เป็นลักษณะสำคัญ คือ เอนไซม์รีเวอร์สทรานสคริพเตส (Reverse transcriptase, RT)  สายพันธุ์ของเชื้อไวรัสเอชไอวี การวินิจฉัย ความแตกต่างทางพันธุกรรมระหว่าง HIV-1 และ HIV-2 หมายความว่า หากบุคคลทำการทดสอบ HIV-1 อาจตรวจไม่พบ HIV-2 สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV-2 มากขึ้น ผู้ให้บริการด้านการแพทย์อาจตรวจหาแอนติบอดีหรือแอนติเจนของ HIV-2 การรักษา ในการรักษาเอชไอวีผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพมักจะสั่งยาหลายชนิดที่เรียกว่าการรักษาด้วยยาต้านไวรัส การรับประทานยาเหล่านี้ทุกวันตามคำสั่งแพทย์ สามารถช่วยชะลอการลุกลามของเอชไอวีป้องกันการแพร่เชื้อและช่วยปกป้องระบบภูมิคุ้มกัน การบริการด้านการดูแลสุขภาพอาจกำหนดชุดยาที่แตกต่างกัน แต่ก็ยังติดตามความคืบหน้าของผู้ติดเชื้อในลักษณะเดียวกัน ซึ่งรวมถึงการตรวจปริมาณไวรั สและจำนวนเซลล์ CD4  ปริมาณไวรัส ผู้ที่ติดเชื้อ HIV-2 มักจะมีปริมาณไวรัสน้อยลง หรือมีไวรัสอยู่ในเลือดมากกว่าผู้ที่ติดเชื้อ HIV-1 เมื่อรวมกับจำนวนเซลล์ CD4 ซึ่งเป็นวิธีการระบุว่าระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงเพียงใดปริมาณไวรัส จะเป็นตัวบ่งบอกให้แพทย์ที่ทำการรักษาของผู้ติดเชื้อ ว่ายาต้านไวรัสเอชไอวีนั้นได้ผลดีเพียงใดต่อการรักษาผู้ติดเชื้อ อ่านบทความอื่นๆ อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ : Post Views: 1,586

  • โรคเอดส์ (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome)

    คนส่วนใหญ่มักจะเข้าผิดว่าผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคเอด์ เป็นโรคเดียวกัน จริงๆ แล้วผู้ที่ได้รับเชื้อเชื้อเอชไอวี ระยะแรกจะยังไม่เป็นโรคเอดส์จนผู้ติดเชื้อไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง จนผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ จึงจะเรียกว่า ผู้ป่วยโรคเอดส์ โรคเอดส์คืออะไร? สาเหตุของโรคเอดส์ มาจากการได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี ผ่านทางการรับของเหลว เช่น เลือด น้ำนมแม่ น้ำอสุจิ ของเหลวในช่องคลอด โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะได้รับผ่านจากการมีเพศสัมพันธ์ และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับบุคคลอื่น ทั้งนี้การที่ไวรัสส่งผ่านทางของเหลวทำให้ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี สามารถส่งผ่านเชื้อไวรัสจากแม่ไปยังลูกในครรภ์ หรือผ่านทางน้ำนม ได้เช่นกัน  อาการของโรคเอดส์ อาการโรคเอดส์ระยะเริ่มแรก หรือเรียกระยะเฉียบพลัน ในระยะแรกนี้ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี จะมีอาการไข้ เจ็บคอ ผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งเป็นอาการตอบสนองของร่างกายจากการได้รับเชื้อ อาการท้องเสียของคนเป็นเอดส์ จะมีอาการถ่ายเหลว มีน้ำเยอะมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน หรืออาจมีมูกเลือดปนออกมาด้วยในบางครั้ง อาการท้องเสียมักจะเกิดร่วมกันกับอาการไข้และน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว โรคเอดส์ และการติดเชื้อในกระแสเลือด เกิดการอักเสบ และติดเชื้อในร่างกายและกระจายสู่กระแสเลือด อาจทำให้เกิดภาวะช็อกและอวัยวะภายในล้มเหลวได้ อาการที่บ่งบอกว่าถึงเวลาต้องไปพบแพทย์ เมื่อรู้ตัวว่ามีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี หรือหากน้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ มีไข้หลายสัปดาห์ติดต่อกัน ท้องเสียเรื้อรัง ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอหรือขาหนีบโต ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโรค  การรักษาโรคเอดส์ การรักษาโรคเอดส์ด้วยการให้ยาต้านไวรัสเอชไอวีกับผู้ป่วย โดยผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องไปตลอดชีวิต…

  • | | |

    ยาเป๊ป (PEP) ยาต้านฉุกเฉินป้องกันเอชไอวี

    ยาต้านไวรัสเอชไอวีเป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งหรือต้านการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี ช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้สูงสุดถึง 99% หากมีการใช้อย่างถูกวิธี การทานยา เป๊ป(PEP) จะต้องทานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 1 เดือน และทานยาต้านไวรัสประกอบกัน 2-3 ชนิด ซึ่งเป็นวิธีเดียวกันกับผู้มีเชื้อเอชไอวี แต่ยาต้านไวรัสส่วนมาก มักมีผลข้างเคียง บางรายอาจมีอาการท้องเสีย ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน และอิดโรย โดยผลข้างเคียงนี้อาจมีอาการรุนแรงในบางราย จนทำให้เป็นสาเหตุของผู้ทานยา หยุดยาไปก่อนที่จะทานครบกำหนด สาเหตุที่ต้องรับยาเป๊ป ( PEP ) ยาเป๊ป (PEP) เป็นยาต้านฉุกเฉิน ในกรณีการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันและควรเก็บไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น และการรับยา PEP จะช่วยยับยั้งการกลายเป็นตัวไวรัสที่สมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ร่างกายของผู้ป่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันในการป้องกันก่อนจะแพร่กระจายในร่างกายได้ ดังนั้นจึงควรรับประทานยาให้เร็วที่สุด ต้องกินยาเป๊ป ( PEP ) นานแค่ไหน การกินยา PEP ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดจะต้องกินภายใน 72 ชั่วโมงหลังได้รับความเสี่ยง โดยกินอย่างสม่ำเสมอทุกวัน(กินเวลาเดิม) ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 28 วัน โดยสูตรยาที่กินจะมีทั้งแบบวันละครั้งและวันละ 2 ครั้ง…