รักษาหูดข้าวสุก ด้วยตัวเอง ทำได้หรือไม่

รักษาหูดข้าวสุก ด้วยตัวเอง ทำได้หรือไม่

หลายคนสงสัยว่าการ รักษาหูดข้าวสุก นั้นสามารถทำได้ด้วยตัวเองจริงหรือเปล่า ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทำได้ยากเพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าติดเชื้อมาตอนไหน และลักษณะของตุ่มก็มีความคล้ายคลึงกับโรคผิวหนังชนิดอื่นด้วย หากคิดจะ รักษาหูดข้าวสุก ควรทำการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้โดยตรงจะดีที่สุด ซึ่งวันนี้ เราจะมาแนะนำเรื่องเกี่ยวกับการรักษาหูดข้าวสุกและการป้องกันที่คุณควรรู้เพื่อจะได้ห่างไกลจากโรคนี้ได้ครับ

หูดข้าวสุก คือโรคอะไรกันแน่?

โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Molluscum Contagiosum Virus : MCV (มอลลัสคุม คอนทาจิโอซุมไวรัส) เป็นเชื้อไวรัสที่อยู่ในกลุ่มพอกซ์ไวรัส (Poxvirus) ที่มักพบในบริเวณผิวหนังชั้นนอกเท่านั้น โดยจะแบ่งออกเป็นไวรัส MCV 4 ชนิดย่อย แต่ชนิดที่ 1 จะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดหูดข้าวสุกได้มากกว่า 95% แลไวรัสนี้ไม่มีผลต่อระบบภายในร่างกาย รวมไปถึงไม่แพร่กระจายโดยการจามหรือไอ ถือเป็นโรคผิวหนังที่สามารถติดต่อกันได้ในทุกเพศทุกวัย ซึ่งเชื้อจะเข้าไปในบริเวณผิวหนังที่เป็นแผล ลอก แตก จนทำให้เกิดตุ่มเนื้อ และมีรอยนูนขนาดเล็กทั่วร่างกาย แต่จะไม่ขึ้นตุ่มที่ฝ่ามือฝ่าเท้า เหมือนกับโรคซิฟิลิส และไม่ได้ส่งผลต่อระบบอวัยวะภายในมากนัก

Love2test”></a></div>




<h2 class=อาการของโรคหูดข้าวสุก

ถึงแม้ว่า โรคนี้จะไม่ได้มีอาการที่รุนแรง แต่ทุกคนก็ควรได้รับการ รักษาหูดข้าวสุก ระยะฟักตัวตั้งแต่ได้รับเชื้อไวรัสนี้มาจะเกิดอาการประมาณ 14 วันขึ้นไป ถึง 6 เดือน โดยอาการที่อาจสังเกตพบได้ มีดังต่อไปนี้

  • มีตุ่มขนาดเล็ก ประมาณ 2–5 มิลลิเมตร สีเหมือนกับผิวธรรมชาติ หรือบางรายอาจมีสีขาวหรือชมพู
  • ลักษณะตุ่มผิวสัมผัสมีความเงา และเรียบ เป็นรูปทรงโดม หรือมีรอยบุ๋มตรงกลางตุ่ม หากกดหรือบีบจะมีเนื้อหูดเละสีขาวคล้ายข้าวสุกไหลออกมา
  • อาจพบเป็นตุ่มเดี่ยวกระจายทั่วร่างกาย หรืออยู่กระจุกกันเป็นกลุ่มหลายตุ่ม ที่บริเวณใบหน้า รอบดวงตา หน้าท้อง ลำตัว แขนขา ลำคอ ข้อพับ ขาหนีบ ต้นขาด้านใน อวัยวะเพศ เป็นต้น
  • ตุ่มที่เกิดขึ้นไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ หรือคัน แต่อาจมีอาการบวมแดง หรืออาการอักเสบร่วมด้วย
  • ในกลุ่มผู้ป่วยโรคหูดข้าวสุกที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ หรือมีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อการต้านทานต่อเชื้อไวรัสจะยิ่งทำให้ตุ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นและคงอยู่นาน ยากต่อการรักษา

เราติดโรคหูดข้าวสุกได้จากช่องทางไหน?

ไวรัสที่ทำให้เป็นโรคนี้จะติดต่อผ่านการสัมผัสโดนบริเวณที่มีเชื้อโดยตรงเป็นหลัก เช่น สิ่งของเครื่องใช้ที่มีเชื้อไวรัสนี้อยู่ (ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า รองเท้า อุปกรณ์กีฬา สระว่ายน้ำ อ่างน้ำสาธารณะ) หรือการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีหูดข้าวสุก ซึ่งนับได้ว่าโรคนี้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วยเช่นกัน

“Quicky"

การวินิจฉัยโรคหูดข้าวสุก

หากคุณสงสัยว่าจะเป็นโรคหูดข้าวสุก และทำการพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโรค ในเบื้องต้นแพทย์จะทำการซักประวัติและลักษณะอาการของโรคที่คุณกำลังเป็นอยู่ แล้วจึงเริ่มการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการร่วมด้วย เพื่อยืนยันผลการติดเชื้อไวรัสได้แม่นยำมากขึ้น ได้แก่

  • ตรวจบริเวณผิวหนังที่มีการติดเชื้อด้วยกล้องจุลทรรศน์
  • การขูดผิวหนัง และทำการเก็บตัวอย่างจากบริเวณรอยโรคไปตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ
  • หากพบว่ามีหูดข้าวสุกบริเวณอวัยวะเพศ อาจมีการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นๆ ด้วย

รักษาหูดข้าวสุก ทำได้อย่างไร?

ความจริงแล้ว ในผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดี คุณจะสามารถหายจากโรคหูดข้าวสุกได้เอง แม้ไม่ได้รับการรักษา ภายในครึ่งปีถึง 1 ปี แต่ร่างกายคนเรานั้น ก็ไม่อาจมองจากภายนอกอย่างเดียวได้ว่ามีความแข็งแรงแค่ไหน หากคุณไม่ได้รับการตรวจรักษา หูดข้าวสุกอาจจะยังคงอยู่ต่อเนื่องยาวนานกว่า 5 ปีเลยทีเดียว โดยการรักษาสามารถทำได้หลายวิธี หรือแพทย์อาจพิจารณาเลือกใช้หลายวิธีร่วมกัน ขึ้นอยู่กับขนาด จำนวน และตำแหน่งของหูดข้าวสุกที่เกิดขึ้น ดังวิธีต่อไปนี้

“ChatLove2test"
  • การใช้ยาทาที่มีฤทธิ์เป็นกรด เพื่อช่วยทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อ เช่น
    • ยาทาที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก
      • โพแทสเซียม ไฮดรอกไซด์
      • ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์
      • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์
  • การใช้ยาในรูปแบบเจล หรือครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์
    • ทาซาโรทีน
    • อะดาพาลีน
    • เตรติโนอิน
  • การจี้ด้วยความเย็น เป็นอีกรูปแบบของการใช้ไนโตรเจนเหลวที่มีความเย็นจัดในการทำลายหูด
  • การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ชนิดที่รักษาความผิดปกติของเส้นเลือดบนผิวหนังที่นิยมใช้

เพราะฉะนั้นการจะ รักษาหูดข้าวสุก ด้วยตัวเองจึงไม่ใช่สิ่งที่แพทย์แนะนำ เพราะอาจทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้ และมีความเสี่ยงต่อผิวหนังแสบ หรือระคายเคืองจากการรักษาผิดวิธี นอกจากนี้ หากไม่รู้ว่าติดเชื้อไวรัสใดกันแน่ การรักษาที่ไม่ตรงจุดจะทำให้เชื้อแพร่กระจายไปยังผู้อื่นโดยง่าย โดยขั้นตอนการรักษาและดูแลตัวเองในระหว่างที่เป็นหูดข้าวสุก ได้แก่

ห่างไกลโรคหูดข้าวสุก

การดูแลตัวเองในระหว่างที่เป็นหูดข้าวสุก

  • งดเว้นการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น รวมไปถึงของใช้สาธารณะ อุปกรณ์กีฬา หรือการลงสระว่ายน้ำ อ่างอาบน้ำสาธารณะเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส
  • ควรหาพลาสเตอร์มาปิดตุ่มหูดข้าวสุก หรือสวมเสื้อปกคลุมให้มิดชิดเพื่อป้องกันการแกะเกาและลดโอกาสสัมผัสเชื้อโดยตรง เพราะหากมีการถลอกจากการแกะเกาจะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย บางรายอาจเผลอนำมาขยี้ตาทำให้รอบดวงตาเกิดการติดเชื้อเพิ่ม
  • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ระวังไม่ให้คู่นอนสัมผัสโดนบริเวณแผลหูด แต่หากมีหูดบริเวณใกล้อวัยวะเพศก็ควรงดเว้นไปก่อนจนกว่าจะทำการรักษาหายขาดแล้ว

ห่างไกลโรคหูดข้าวสุกด้วยการ …

  • ลดโอกาสในการรับเชื้อ ด้วยการไม่สัมผัสเชื้อ และดูแลตัวเองตามหลักสุขอนามัยพื้นฐาน
  • ของใช้ส่วนตัวก็ควรเก็บไว้ใช้คนเดียว เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ชุดชั้นใน ไม่ควรใช้ร่วมกัน
  • หมั่นล้างมือบ่อยๆ ให้สะอาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะหลังการจับสิ่งของสาธารณะ
  • หัดสังเกตคู่นอนของตนเอง หากพบว่ามีหูดข้าวสุกบริเวณใกล้อวัยวะเพศ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์

สุดท้ายนี้ โรคหูดข้าวสุก และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ด้วยพฤติกรรมของคนที่มีความเสี่ยงจะเป็นโรคนี้ มักเปลี่ยนคู่นอนบ่อย และมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยเป็นประจำ จึงทำให้มีโอกาสสัมผัสกับรอยโรคได้โดยตรง เพราะฉะนั้น การหัดสังเกตอาการ และรอยโรคพร้อมทั้งหมั่นไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ จะช่วยให้คุณรู้ทันโรค และทำการรักษาได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องเกิดความเสี่ยงที่เชื้อจะแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ครับ

“PrEPLove2test"

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Similar Posts

  • หนองใน (Gonorrhea) | โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พบได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง

    หนองใน (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae ส่วนใหญ่ติดต่อกันผ่านทางเพศสัมพันโดยไม่ได้ป้องกัน อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ปัสสาวะแสบขัด หนองจากอวัยวะเพศ หรือมีตกขาวผิดปกติออกมาทางช่องคลอด หนองในสามารถพบได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้การติดเชื้อลุกลามหรือมีภาวะแทรกซ้อนได้ ซึ่งหนองในแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ การวินิจฉัยหนองใน หนองใน สามารถตรวจวินิจฉัยได้โดยการเก็บตัวอย่างปัสสาวะส่งเพาะเชื้อ แต่หากมีเพศสัมพันธ์ทางปากหรือมีอาการแสดงบริเวณช่องปากหรือลำคอ อาจเก็บตัวอย่างจากลำคอ หากมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักหรือมีอาการแสดงบริเวณทวารหนัก อาจเก็บตัวอย่างจากทวารหนัก หากมีอาการหนองในแสดงบริเวณอวัยวะเพศ อาจเก็บตัวอย่างจากปลายองคชาต หรือบริเวณปากมดลูก

  • ดูแลตัวเองอย่างไร ?…เมื่อเป็นโรคซิฟิลิส  

    โรคซิฟิลิสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า ทริปโปนีมา พัลลิดุม (Treponema Pallidum) จากการสัมผัสถูกเชื้อโดยตรงจากแผลของผู้ป่วย และระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ที่มักสุ่มเสี่ยงกับการติดเชื้อได้มากที่สุด จึงมักถูกจัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคซิฟิลิสคือ? ซิฟิลิส (Syphilis) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ทรีโพนีมาพาลลิดัม (Treponema pallidum)  โดยปกติจะติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้เกิดผื่นหรือแผลตามผิวหนัง และ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงขึ้นหากไม่รักษา โรคซิฟิลิส ติดต่อกันได้อย่างไร สามารถรับเชื้อซิฟิลิสได้ 3 ทาง คือ ทางเพศสัมพันธ์ โดยติดต่อผ่านทางเยื่อบุช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ติดต่อผ่านการสัมผัสแผลที่มีเชื้อ โดยผ่านทางผิวหนัง เยื่อบุตา ปาก จากแม่สู่ลูก โดยหากมารดาเป็นซิฟิลิส จะถ่ายทอดโรคนี้สู่ทารกในครรภ์ได้ โดยเรียกเด็กที่เป็นซิฟิลิสจากสาเหตุนี้ว่า ซิฟิลิสแต่กำเนิด (Congenital Syphilis) จะแสดงอาการหลังคลอดได้ 3-8 สัปดาห์ และเป็นอาการเล็กน้อยมาก จนแทบไม่ทันได้สังเกต เช่น มีตุ่มผื่นขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มาออกอาการมาก ๆ เข้าเมื่อตอนโต ซึ่งก็เข้าสู่ระยะที่สี่แล้ว หรือบางคนอาจแสดงอาการพิการออกมาให้เห็นได้ชัด อาการของซิฟิลิส แบ่งอาการออกได้เป็น 4 ระยะ…

  • ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีผลกระทบต่อทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์ การติดเชื้อบางอย่างสามารถรักษาได้เพื่อให้คุณ และคู่นอนของคุณมีสุขภาพที่แข็งแรง และคุณเองสามารถป้องกันตัวเองจากการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ STI  คืออะไร? โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted infections; STI)  คือ การติดเชื้อจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ โดยผ่านการจูบ, การสัมผัสหรือถูอวัยวะเพศ, การมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปาก (การใช้ปากกับอวัยวะเพศ), การร่วมเพศ (องคชาตในช่องคลอด องคชาตในทวารหนัก), การใช้เซ็กซ์ทอย รวมถึง การติดเชื้อจากแม่ไปสู่ลูกระหว่างตั้งครรภ์ ระหว่างคลอด และหลังคลอด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่รักษาไม่หายขาด วิธีการป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทำอย่างไรได้บ้าง อ่านบทความอื่นๆ

  • เริมที่อวัยวะเพศ รักษาอย่างไร

    เริมที่อวัยวะเพศ เป็นหนึ่งในโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ หากคุณมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อ ซึ่งพบได้ทุกเพศทุกวัย ยิ่งเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน ที่มีโอกาสจะมีเซ็กส์กับคนแปลกหน้าได้ และทำให้ติดโรคเริมที่อวัยวะเพศมา ความน่ากลัวของเชื้อเริมนี้ คือ เมื่อคุณติดแล้วจะกลับมาเป็นซ้ำได้อีกเรื่อยๆ ไม่สามารถหายขาดได้อย่างสนิทใจสักที หากคุณไม่ทำการรักษาก็จริงลุกลามเป็นแผล ส่งผลให้รู้สึกขาดความมั่นใจได้ครับ เริมที่อวัยวะเพศ มีสาเหตุจากอะไร โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างเริมที่อวัยวะเพศนั้น จัดเป็นโรคที่เกิดจากไวรัสยอดฮิตที่ชื่อ เอชเอสวี (HSV : Herpes Simplex Virus) อ่านว่า เฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ ไวรัส แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ โรคเริมอวัยวะเพศ ส่งผลร้ายอย่างไร ถึงแม้โรคเริม จะไม่ได้ทำให้เกิดโรคร้ายแรงถึงชีวิต แต่หากมีแผลเริมที่อวัยวะเพศจะเป็นช่องทางที่ทำให้เชื้อโรคอื่นๆ เข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัสเอชไอวี เชื้อซิฟิลิส เชื้อไวรัสตับอักเสบบี เชื้อไวรัสตับอักเสบซี หนองในแท้ หนองในเทียม ฯลฯ ยิ่งหากเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อยู่ก่อนแล้ว ก็ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง อ่อนแอง่าย และเร่งให้เชื้อเริมกำเริบขึ้นมาบ่อยๆ ทั้งที่ทำการรักษาเรียบร้อยแล้วก็ตาม การรักษา เริมที่อวัยวะเพศ วิธีรักษาเริมที่อวัยวะเพศจะเน้นรักษาตามอาการ โดยจะใช้ทั้งยาชนิดรับประทานและยาทาไปพร้อมกัน โดยจะเป็นยาในกลุ่มต้านไวรัสชนิดที่ก่อให้เกิดโรคเริมที่อวัยวะเพศ เพราะไม่สามารถใช้ยารักษาไวรัสเริมที่เกิดบริเวณปากได้…

  • รักษาซิฟิลิส ไม่ต่อเนื่อง เสี่ยงอันตราย

    ว่าด้วยเรื่องของการ รักษาซิฟิลิส เพราะเป็นโรคที่ร้ายแรง และสามารถติดต่อไปสู่ผู้อื่นได้ง่าย โดยมีอาการที่ไม่ค่อยแสดงออกมา แต่อาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ดังนั้นการ รักษาซิฟิลิส จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค และช่วยให้ผู้ป่วยหายขาดได้อย่างแน่นอน ความสำคัญของการ รักษาซิฟิลิส โรคซิฟิลิส คือ สภาวะที่เกิดขึ้นจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันโจมตีเนื้อเยื่อภายในร่างกาย ซึ่งอาจเป็นอวัยวะ หรือเนื้อเยื่อต่างๆ ทำให้เกิดอาการอักเสบและความเสียหายต่อร่างกายได้ เชื้อซิฟิลิส เป็นโรคที่รุนแรงและเป็นอันตรายถ้าไม่ได้รับการรักษาซิฟิลิส ให้เหมาะสม การวินิจฉัยโรคซิฟิลิส จะใช้การตรวจเลือด และการตรวจเนื้อเยื่อ เพื่อหาสารที่เป็นตัวบ่งชี้ว่า การโจมตีเนื้อเยื่อจากระบบภูมิคุ้มกันหรือไม่ การรักษาโรคซิฟิลิส จะใช้ยาเข้าควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน หรือการผ่าตัดเพื่อเอาเนื้อเยื่อที่ถูกโจมตีออกจากร่างกาย อีกทั้งยังมีการรักษาโดยใช้เซลล์เอกซ์ไทร์ภูมิคุ้มกัน หรือการฉีดวัคซีนเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันด้วย ในบางกรณีอาจพบอาการแสดงอื่นๆ เช่น ผื่นขึ้นที่ผิวหนังหรืออาการเจ็บคอ การรักษาโรคซิฟิลิสจะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรียและความรุนแรงของอาการ โดยทั่วไปแล้วการรักษาจะใช้ยาปฏิชีวนะเป็นหลัก แต่ในกรณีที่เกิดภาวะที่รุนแรงอาจต้องใช้การรักษาที่โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลเฉพาะทางได้ ดังนั้น หากมีอาการของโรคซิฟิลิส ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อการวินิจฉัย และการรักษาซิฟิลิส ที่ถูกต้องและทันเวลา การตรวจ รักษาซิฟิลิส ในห้องปฏิบัติการ การตรวจโรคซิฟิลิส สามารถทำได้โดยใช้วิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยหลักการจะเป็นการเพาะเชื้อจากตัวอย่างสิ่งส่งตรวจ เช่น สารอาหาร อุจจาระ หรือเลือด…

  • |

    โรคเอดส์ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ป้องกันได้ รักษาได้

    “โรคเอดส์” หรือ AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นคำที่หลายคนเคยได้ยินมาตั้งแต่อดีต และในบางครั้งยังถูกใช้อย่างคลาดเคลื่อน จนเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคนที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ซึ่งเป็นไวรัสต้นเหตุของโรคเอดส์อย่างแท้จริง บางคนเข้าใจว่า HIV และเอดส์คือสิ่งเดียวกัน หรือเข้าใจว่าเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาได้และต้องเสียชีวิตในเวลาอันสั้น แต่ในความเป็นจริง ปัจจุบันความรู้ทางการแพทย์ได้พัฒนาไปไกลมาก บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจโรคเอดส์ อย่างถูกต้อง แยกให้ออกระหว่างการติดเชื้อ HIV กับการเป็นเอดส์ พร้อมทั้งพูดถึงวิธีการป้องกัน การรักษา และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพของผู้ที่ติดเชื้อ HIV ในปัจจุบัน HIV และเอดส์ ต่างกันอย่างไร ? HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือไวรัสที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะไปทำลายระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 หากไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนเข้าสู่ระยะของโรคเอดส์ อาการเหล่านี้มักไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน และมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล การตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัย HIV จึงเป็นวิธีที่แน่นอนที่สุด การวินิจฉัยและตรวจหา HIV การตรวจ HIV ในปัจจุบันสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว ทั้งในโรงพยาบาล…