ยา เพร็พ (PrEP) คืออะไร คู่มือสุขภาพป้องกัน HIV

ยา เพร็พ (PrEP) คืออะไร ? คู่มือสุขภาพป้องกัน HIV

ในยุคปัจจุบันที่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังคงเป็นปัญหาสำคัญต่อสังคม การป้องกันล่วงหน้าเป็นหนึ่งในแนวทางที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด ยา เพร็พ (PrEP) จึงถูกพัฒนาและนำมาใช้ในวงการสาธารณสุขทั่วโลก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV ในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับยาเพร็พอย่างละเอียด ตั้งแต่วิธีการใช้ ประโยชน์ ผลข้างเคียง ตลอดจนการเข้าถึงบริการในประเทศไทย เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและดูแลสุขภาพได้อย่างมืออาชีพ

ความหมายและความสำคัญของ ยาเพร็พ

Love2test”></a></div>
<p>ยาเพร็พ (PrEP) ย่อมาจาก Pre-Exposure Prophylaxis คือแนวทางป้องกันการติดเชื้อ HIV ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยใช้ยาต้านไวรัสที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถลดโอกาสการติดเชื้อ HIV ได้อย่างมีนัยสำคัญ ยาเพร็พจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่องค์การอนามัยโลก (WHO) และหน่วยงานด้านสุขภาพทั่วโลกแนะนำให้ใช้ในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมทั้งเสริมสร้างความมั่นใจในการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ</p>



<h2 class=ยา เพร็พ ต่างจาก ยาต้านไวรัส อย่างไร ?
ยา เพร็พ ต่างจาก ยาต้านไวรัส อย่างไร

ยาเพร็พ (PrEP: Pre-Exposure Prophylaxis) คือ ยาที่ใช้สำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ HIV โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือคู่รักที่อีกฝ่ายติดเชื้อ โดยรับประทานยาเพร็พอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยสร้างเกราะป้องกันในร่างกาย ทำให้ไวรัสไม่สามารถฝังตัวและเพิ่มจำนวนได้ หากได้รับเชื้อโดยไม่ตั้งใจ จึงช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้สูงเกือบ 100% เมื่อใช้ร่วมกับการป้องกันอื่น ๆ เช่น การใช้ถุงยางอนามัย

ในขณะที่ ยาต้านไวรัส (ART: Antiretroviral Therapy) เป็นยาสำหรับผู้ที่ติดเชื้อ HIV แล้ว มีหน้าที่ช่วยลดปริมาณไวรัสในร่างกาย (viral load) ให้อยู่ในระดับต่ำหรือถึงขั้นตรวจไม่พบ (Undetectable) ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพแข็งแรงขึ้นและมีชีวิตยืนยาวแล้ว ยังช่วยป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ด้วย เพราะเมื่อปริมาณไวรัสในร่างกายต่ำจนตรวจไม่พบ ความเสี่ยงในการแพร่เชื้อจะเท่ากับศูนย์ (U=U: Undetectable = Untransmittable)

ประเภทของยาเพร็พและแนวทางการใช้

เพร็พมี 2 รูปแบบหลัก คือ เพร็พรายวัน และ เพร็พแบบตามความเสี่ยง เพร็พรายวัน คือ การรับประทานยาเป็นประจำทุกวัน เพื่อสร้างระดับยาคงที่ในร่างกาย เหมาะกับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อเนื่อง ส่วนเพร็พแบบตามความเสี่ยง ใช้เฉพาะช่วงที่คาดว่าจะมีความเสี่ยง โดยต้องรับประทานยาตามสูตร และช่วงเวลาที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด ก่อนเริ่มใช้ยาเพร็พ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ ตรวจหาเชื้อ HIV รวมถึงตรวจการทำงานของตับและไต หากผลตรวจผ่านเกณฑ์ แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาและการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง

ผลข้างเคียงของยาเพร็พและการดูแลตัวเอง

การใช้ยาเพร็พโดยทั่วไปถือว่าปลอดภัย และได้รับการยอมรับว่ามีผลข้างเคียงน้อย แต่ในบางรายอาจพบอาการข้างเคียงเล็กน้อยในช่วงเริ่มต้น เช่น อาการคลื่นไส้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หรือท้องเสีย ซึ่งอาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และจะค่อย ๆ หายไปภายในไม่กี่สัปดาห์ เมื่อร่างกายเริ่มปรับตัวกับยา อย่างไรก็ตาม หากผู้ใช้รู้สึกว่ามีอาการผิดปกติที่รุนแรง หรืออาการไม่ดีขึ้น ควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อรับคำแนะนำและการดูแลที่เหมาะสม นอกจากนี้ การตรวจติดตามการทำงานของตับและไตอย่างสม่ำเสมอก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากยาเพร็พอาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะเหล่านี้ในบางกรณี

“ChatLove2test"

ใครเหมาะสมกับการใช้ยาเพร็พ ?

ใครเหมาะสมกับการใช้ยาเพร็พ

ยาเพร็พไม่ใช่ยาที่ทุกคนต้องใช้ แต่เป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ HIV โดยเฉพาะกลุ่มต่อไปนี้ที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการพิจารณาใช้ยาเพร็พ

  • ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สามารถใช้ถุงยางอนามัยได้ทุกครั้ง หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันบ่อยครั้ง
  • ผู้ที่มีคู่รักที่ติดเชื้อ HIV แม้คู่รักจะได้รับยาต้านไวรัสและตรวจไม่พบไวรัส แต่การป้องกันเพิ่มด้วยเพร็พก็ช่วยสร้างความอุ่นใจและความปลอดภัยมากขึ้น
  • ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีอัตราการติดเชื้อที่มากกว่าค่าเฉลี่ยของประชากรทั่วไป การใช้เพร็พจะช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด เนื่องจากมีโอกาสได้รับเชื้อจากการใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น
  • ผู้ที่เคยมีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บ่อยครั้ง เพราะพฤติกรรมเสี่ยงและการมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นสัญญาณว่ามีโอกาสสัมผัสเชื้อ HIV ได้สูงขึ้น

สรุปง่าย ๆ คือ หากคุณสงสัยว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยง การพบแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและรับยาเพร็พ อาจเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญเพื่อปกป้องสุขภาพของคุณและคนที่คุณรัก

“PrEPLove2test"

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ยา เพร็พ

แม้ว่ายาเพร็พจะเป็นที่รู้จักมากขึ้นในปัจจุบัน แต่ก็ยังมีความเข้าใจผิดหลายประการที่ทำให้ผู้คนอาจใช้ยาอย่างไม่ถูกต้องหรือเกิดความกังวลเกินความเป็นจริง หลายคนยังเข้าใจผิดว่ายาเพร็พคือยารักษาโรค HIV แต่ความจริงแล้ว ยาเพร็พเป็นยาที่ใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อในผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อเท่านั้น ไม่สามารถรักษาโรคได้ หากติดเชื้อ HIV แล้วจะต้องรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสโดยเฉพาะ

อีกหนึ่งความเข้าใจผิดที่พบบ่อย คือ เมื่อรับประทานยาเพร็พแล้วไม่จำเป็นต้องใช้ถุงยางอนามัย ความจริงคือ การใช้ยาเพร็พช่วยป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้ แต่ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ ได้ เช่น ซิฟิลิส หนองใน หรือเริม ดังนั้นการใช้ถุงยางอนามัยควบคู่กันจึงยังเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อความปลอดภัยรอบด้าน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ยา เพร็พ

หยุดใช้ยาเพร็พได้เมื่อใด?

  • สามารถหยุดได้เมื่อพ้นช่วงความเสี่ยง แต่ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำจากแพทย์

หากลืมรับประทานยาเพร็พควรทำอย่างไร?

  • ควรรับประทานทันทีที่นึกได้ หากเกิน 12 ชั่วโมง ให้ข้ามไปและรับประทานตามปกติในมื้อถัดไป

ยาเพร็พส่งผลต่อตับและไตหรือไม่?

  • พบได้น้อยมาก แต่ควรตรวจการทำงานของตับและไตอย่างสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัย

การตรวจสุขภาพระหว่างใช้เพร็พ

การตรวจสุขภาพระหว่างใช้เพร็พ

การใช้ยาเพร็พเพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ แต่สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม คือ การตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ใช้ยา ผู้ใช้ยาเพร็พควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อ HIV ทุก 3 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการติดเชื้อเกิดขึ้น และหากเกิดกรณีที่มีการติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว จะได้เข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังควรตรวจการทำงานของตับและไตทุก 6 เดือน เนื่องจากยามีโอกาสส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะเหล่านี้ในบางราย หากตรวจพบความผิดปกติจะได้ปรับแนวทางการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม รวมถึงการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องก็เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะยาเพร็พไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นได้ การติดตามสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจึงช่วยให้สามารถดูแลรักษาได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่มและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

การใช้ยาเพร็พ เป็นการลงทุนด้านสุขภาพที่ชาญฉลาด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นใจและความปลอดภัยในการใช้ชีวิต หากคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือมีข้อสงสัย ควรขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ และเริ่มดูแลสุขภาพอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้

Similar Posts

  • PrEP ซื้อที่ไหน ราคาเท่าไร? รวมคำตอบที่ควรรู้

    ในยุคที่การป้องกันเอชไอวี (HIV) มีความสำคัญอย่างยิ่ง PrEP หรือ Pre-Exposure Prophylaxis ได้กลายเป็นทางเลือกที่หลายคนให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นยาต้านไวรัสที่ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อได้เกือบ 100% หากใช้ถูกต้องและต่อเนื่อง การมีข้อมูลที่ถูกต้องว่า PrEP ซื้อที่ไหน และราคาเท่าไร จึงเป็นคำถามสำคัญที่ผู้คนจำนวนมากอยากได้คำตอบอย่างชัดเจน การหาซื้อ PrEP ไม่ใช่แค่การซื้อยา แต่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย คุณภาพของยา การดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง และค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม บทความนี้จะอธิบายทุกประเด็นที่คุณควรรู้ ตั้งแต่พื้นฐานของ PrEP ความสำคัญ ราคา ช่องทางซื้อ ไปจนถึงปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนเริ่มใช้ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าทุกการตัดสินใจจะเป็นไปอย่างรอบคอบและปลอดภัย ยา PrEP คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ นอกจากนี้ การติดตามผลทุก 3 เดือนถือเป็นหัวใจสำคัญของการใช้ PrEP เพราะช่วยให้มั่นใจว่าผู้ใช้ยังคงปลอดจากเชื้อเอชไอวี รวมถึงช่วยประเมินผลข้างเคียงจากการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง การมีแพทย์คอยกำกับดูแลจึงไม่เพียงแค่ทำให้การใช้ PrEP ปลอดภัยยิ่งขึ้น แต่ยังทำให้ผู้ใช้ได้รับการดูแลสุขภาพในภาพรวมอย่างครบถ้วนอีกด้วย ราคา PrEP ในประเทศไทย ค่าใช้จ่ายในการรับบริการ PrEP (เพร็พ) ในประเทศไทย จะแตกต่างกันไปตามสถานพยาบาล รวมถึงการสนับสนุนจากโครงการด้านสุขภาพต่าง…

  • Love2Test แพลตฟอร์มสุขภาพทางเพศที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน

    ปัจจุบัน สุขภาพทางเพศเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) และเอชไอวี (HIV) ยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนทั่วโลก แม้ว่าความก้าวหน้าทางการแพทย์จะช่วยให้มีวิธีป้องกันและรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่การเข้าถึงบริการเหล่านี้ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับหลายคน Love2Test จึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนสามารถตรวจหาเอชไอวีและดูแลสุขภาพทางเพศได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และเป็นส่วนตัว บทบาทสำคัญของLove2Test ในการลดการแพร่ระบาดของเอชไอวีในประเทศไทย ความสำคัญของการตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ การตรวจหาเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกัน และควบคุมการแพร่ระบาดของโรค การตรวจพบเชื้อในระยะแรกช่วยให้สามารถเริ่มต้นการรักษาได้เร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยลดโอกาสในการแพร่เชื้อและช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีสุขภาพที่ดี ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง การใช้ ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ขณะที่ PEP (Post-Exposure Prophylaxis) เป็นตัวเลือกที่ช่วยลดความเสี่ยงหลังจากได้รับเชื้อ การตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอไม่เพียงช่วยป้องกันโรค แต่ยังเป็นการดูแลตัวเองและคนที่คุณรักให้ปลอดภัยอีกด้วย บริการที่ครอบคลุมจากLove2Test Love2Testมอบบริการด้านสุขภาพทางเพศแบบครบวงจร ได้แก่ Love2Testทำให้การดูแลสุขภาพทางเพศเป็นเรื่องง่ายและไร้กังวล ใครบ้างที่ควรใช้ Love2Test แพลตฟอร์มนี้ออกแบบมาเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการตรวจเอชไอวีและข้อมูลด้านสุขภาพทางเพศได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และเป็นส่วนตัว โดยเหมาะสำหรับ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในกลุ่มใด Love2Testพร้อมเป็นตัวช่วยในการดูแลสุขภาพทางเพศของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ ช่องทางการเข้าถึงLove2Test คุณสามารถเข้าถึงบริการของLove2Test ผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้ อ่านบทความอื่น…

  • |

    วิธีการรักษาผื่นที่เกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี

    ผื่นที่ผิวหนัง เป็นอาการทั่วไปเมื่อเกิดการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ขึ้น อาการมักจะเป็นสัญญาณเริ่มแรก และมักจะเกิดขึ้นในช่วง 2 – 3 สัปดาห์หลังได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างก่าย ซึ่งอาการผื่นอาจไม่ได้เป็นเกิดจากการติดเชื้อเท่านั้น แต่ยังเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้จากยาที่ใช้รักษาการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ได้ด้วย ผื่นที่เกิดจากเชื้อเอชไอวี ผื่นที่เกิดจากเชื้อเอชไอวี มักจะเป็นจุดด่างดวงบนผิวหนัง ถ้าเป็นคนผิวขาวก็จะเป็นจุดสีแดง แต่ถ้าเป็นคนผิวสีเข้มก็จะเป็นสีดำอมม่วง โดยความรุนแรงของผื่นจะไม่เท่ากันในแต่ละคน บางคนก็อาจจะมีผื่นขึ้นรุนแรงมากเป็นบริเวณกว้าง ในขณะที่บางคนก็อาจจะมีผื่นขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น แต่ถ้าผื่นที่เกิดจากเชื้อเอชไอวี เป็นผลมาจากยาต้านไวรัส ผื่นจะเป็นรอยแผลแดงบวมไปทั่วร่างกาย ผื่นแบบนี้เรียกว่า ผื่นแพ้ยา สังเกตว่าผื่นขึ้นตรงไหล่ หน้าอก ใบหน้า ท่อนบนของร่างกาย และมือหรือไม่ ผื่นเอชไอวีจะมีอาการเจ็บ และคัน ในช่วงเวลาที่ ผื่นปรากฏและจะมาพร้อมกับอาการอื่น ๆ ซึ่งถือว่าเป็นอาการเริ่มแรกของการติดเชื้อเอชไอวี อาการเหล่านี้ สาเหตุของผื่นจากเชื้อเอชไอวี ผื่นเกิดจากการที่เซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกายลดลง จะเกิดขึ้นในระยะไหนของการติดเชื้อก็ได้ แต่โดยทั่วไปแล้ว มีผื่นจะเกิดขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์หลังจากที่คุณได้รับเชื้อ เป็นระยะที่เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงในตัวอย่างเลือด ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเราสามารถตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีได้จากการตรวจเลือด แต่บางคนก็อาจจะไม่ผ่านขั้นตอนนี้ แต่จะมีผื่นขึ้นหลังจากติดเชื้อไวรัสไปถึงระยะอื่นแล้วก็ได้ และนอกจากนี้ผื่นเอชไอวี ยังอาจเป็นอาการแพ้ยาต้านไวรัสเอชไอวี ก็ได้ เช่น Amprenavir Abacavir และ…

  • | |

    PEP ยาเป็ปกับสิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มทาน

    ในด้านของสุขภาพ ความรู้ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียว แต่มักเป็นสิ่งที่เราจะสามารถป้องกันความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ในโลกนี้มีสิ่งที่สำคัญแต่มักถูกมองข้ามไปเช่น PEP คือสิ่งที่มาพร้อมกับการป้องกันในปัญหาสุขภาพระดับโลกที่สำคัญนั่นคือเอชไอวี เป็ป ยังคงเป็นสิ่งที่จะสามารถต่อสู้กับเอชไอวีได้โดยให้การช่วยเหลือสำหรับบุคคลที่อาจได้รับการสัมผัสกับเชื้อไวรัส เป็ป เป็นวิธีการดูแลสุขภาพในช่วงเวลาหลังจากสัมผัสเชื้อเอชไอวีหรือหลังเกิดความเสี่ยง

  • CD4 สำคัญอย่างไรกับผู้ติดเชื้อ HIV?

    HIV เป็นเชื้อไวรัสที่จะทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค และเชื้อไวรัสต่าง ๆ เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาว ถูกทำลายจนอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะถูกเชื้อไวรัสเอชไอวีโจมตีจนไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้และก่อให้พัฒนาจนกลายเป็นโรคเอดส์ (AIDS) เต็มขั้น การตรวจวัดจำนวน CD3/CD4/CD8 ในกระแสเลือด ซึ่งเป็น CD ที่มีความจำเพาะกับเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันชนิดที่ต้องมีการกระตุ้น ( Adaptive Immune Response ) คือ กลุ่มเม็ดเลือดขาว ชนิดที่สร้างแอนติบอดี ( B cells ) หรือ กลุ่มเม็ดเลือดขาวที่เป็นหน่วยความจำ ( T cells ) และมีความสำคัญต่อการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย CD4 คืออะไร? CD4 cells ย่อมาจากคำว่า Cluster of Differentiation 4 บางครั้งถูกเรียกว่า T-cells หรือ T-helper cells  เชื้อเอชไอวีเริ่มยึดเกาะเข้ากับผนัง CD4 โดยใช้หนามที่มีอยู่รอบ ๆ เซลล์แทงยึดที่เต้ารับของ…

  • |

    วิธีการอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีอย่างไรให้ปลอดภัย

    เมื่อคนในบ้านติดเชื้อเอชไอวี เราจะมีวิธีการอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีนั้นให้ปลอดภัยได้อย่าง โดยเฉพาะคนในครอบครัวเดียวกันนั้น ถือเป็นบุคคลสำคัญที่ช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะนอกจากคอยให้กำลังใจแล้ว ยังต้องดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยให้มีพลานามัยสมบูรณ์ และสร้างสิ่งแวดล้อมบริเวณที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี โดยสามารถติดต่อกันได้ 3 ช่องทาง คือ  ทางการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน จากแม่สู่ลูก จากการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เพราะเป็นการส่งต่อเชื้อทางเลือด อะไรก็ตาม ที่สัมผัสกับเลือดก็มีโอกาสเสี่ยง ถ้าหากผิวหนังของเรา สัมผัสกับเลือดผู้ติดเชื้อ ไม่ถือว่าเป็นอันตราย เพราะผิวหนังของเรา สามารถกันเชื้อไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย แต่ถ้าเกิดคุณมีแผลตามผิวหนัง ก็มีโอกาสเสี่ยง การสัมผัสกับเชื้อ จากน้ำลายโดยการจูบ ก็ไม่ได้มีความเสี่ยง ถ้าหากจะเสี่ยง คือ ต้องจูบแบบรับน้ำลายกันต้องมีปริมาณมากเป็นลิตรถึงจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ  ออรัลเซ็กซ์ ส่วนใหญ่จะไม่ติด เว้นแต่ว่าในปากมีแผล มีเลือดออก แบบนี้จะเพิ่มความเสี่ยงในการติด แต่เปอร์เซ็นต์ที่จะติดเชื้อน้อย เตรียมตัวอย่างไรหากต้องอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์ ผู้ที่อาศัยอยู่กับผู้ติดเชื้อเอชไอวีควรเตรียมความพร้อมสำหรับการดูแลผู้ป่วย ดังนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อเอชไอวีในระยะต้น ๆ ที่รับประทานยาเป็นประจำทุกวัน อาจช่วยป้องกันไม่ให้การติดเชื้อลุกลามไปเป็นโรคเอดส์และทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้นานเหมือนคนปกติ ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ แม้ไข้หวัดใหญ่บางชนิดจะไม่รุนแรงสำหรับคนทั่วไป ทว่าอาจส่งผลรุนแรงต่อผู้ป่วยเอดส์หรือผู้ป่วยเอชไอวีได้ ดังนั้น คนใกล้ชิดซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจนำเชื้อโรคแพร่สู่ผู้ป่วยจำเป็นต้องป้องกันตนเองและรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ อีกทั้งควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่และวัคซีนป้องกันโรคติดต่อชนิดอื่น ๆ ด้วย วิธีอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์  ผู้ติดเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์จะมีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ สิ่งที่เราควรจะทำ…