PEP
| |

PEP ยาเป็ปกับสิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มทาน

ในด้านของสุขภาพ ความรู้ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียว แต่มักเป็นสิ่งที่เราจะสามารถป้องกันความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ในโลกนี้มีสิ่งที่สำคัญแต่มักถูกมองข้ามไปเช่น PEP คือสิ่งที่มาพร้อมกับการป้องกันในปัญหาสุขภาพระดับโลกที่สำคัญนั่นคือเอชไอวี เป็ป ยังคงเป็นสิ่งที่จะสามารถต่อสู้กับเอชไอวีได้โดยให้การช่วยเหลือสำหรับบุคคลที่อาจได้รับการสัมผัสกับเชื้อไวรัส เป็ป เป็นวิธีการดูแลสุขภาพในช่วงเวลาหลังจากสัมผัสเชื้อเอชไอวีหรือหลังเกิดความเสี่ยง

PEP คือสิ่งที่เปลี่ยนโลกใบนี้

เป็ป เป็นการป้องกันเอชไอวีหลังพบความเสี่ยงที่เกิดขึ้น เป็ปเป็นการรักษาป้องกันที่เกี่ยวกับการทานยาต้านไวรัสหลังจากการสัมผัสเชื้อเอชไอวีเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ต้องทานยาเป็ปอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 28 วัน และควรเริ่มต้นภายใน 72 ชั่วโมงหลังเกิดความเสี่ยง ยิ่งเริ่มเร็วประสิทธิภาพในการป้องกันยิ่งมากขึ้น

Love2test”></a></div>




<h2 class=การทำงานของเป็ป

กลไกการทำงานของเป็ป ทำให้การสร้างเชื้อไวรัสเอชไอวีถูกทำลาย เป็ป เป็นตัวแทรกแทรงขั้นตอนต่างๆของวงจรชีวิตของเชื้อไวรัส ทำให้ยุติการสร้างเชื้อไวรัสในร่างกาย เป็ป จะป้องกันเชื้อไวรัส เอชไอวี ที่เข้าสู่เซลล์ของร่างกายและการคัดกรองหรือยับยั้งการคัดลอกตัวของเชื้อไวรัสในระหว่างกระบวนการเข้าสู่ร่างกายของเชื้อ การทำงานของ เป็ป ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยมุ่งเน้นให้เชื้อไม่สามารถเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ในร่างกายได้ หากใช้ให้ถูกต้อง เป็ป จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส เอชไอวี อย่างมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย

PEP

สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนเริ่มทาน PEP

ระยะเวลาในการเริ่มทาน PEP

ระยะเวลามีความสำคัญอย่างมากเมื่อเกี่ยวข้องกับ เป็ป การเริ่มทานยาให้เร็วที่สุดหลังจากการสัมผัสเชื้อสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ ความล่าช้าในการทานยาหรือขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ที่ล่าช้าสามารถทำให้ประสิทธิภาพของ เป็ป ลดลง

การประเมินปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้น

เป็ปเป็นยาที่แนะนำให้ใช้ในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี เช่น

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน
  • การใช้เข็มร่วมกันกับผู้ที่ทราบว่าติดเชื้อเอชไอวี
  • การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ

ในกรณีนี้เป็นส่วนสำคัญที่จะประเมินระดับความเสี่ยงอย่างรอบคอบและพูดคุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อกำหนดว่าเป็ปมีความจำเป็นในกรณีนี้หรือไม่

“ChatLove2test"

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

เช่นเดียวกับยาอื่น ๆ เป็ป อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ตั้งแต่อาการเจ็บท้องเล็กน้อยจนถึงอาการรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นหากพบอาการที่เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ ยาเป็ป ควรมาพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

การทานยาอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ

การรับประทาน เป็ป อย่างสม่ำเสมอคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับประสิทธิภาพของเป็ป การขาดยาหรือหยุดใช้ยาก่อนกำหนดอาจเสี่ยงต่อความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี

“PrEPLove2test"

จำเป็นต้องตรวจเอชไอวีเป็นประจำ

จะต้องมีการตรวจและติดตามอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินการตอบสนองต่อการรักษา ตรวจสอบการเกิดผลข้างเคียงที่เป็นไปได้ และให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง แพทย์จะทำการนัดหมายติดตามเพื่อประเมินประสิทธิภาพของ เป็ป และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาหรือความกังวลที่อาจเกิดขึ้น

การติดตามผลการรักษา

หากสิ้นสุดการรับประทานยา เป็ป ก็ยังคงต้องตรวจเอชไอวีและการดูแลเพิ่มเติมต่อไป ผู้ที่ได้รับ เป็ป ควรมารับการตรวจเอชไอวี ในระยะเวลาที่กำหนดหลังจากการรักษาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการติดเชื้อ นอกจากนี้ยังควรมีการติดตามผลเพื่อตรวจสอบผลกระทบที่เป็นไปได้หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในระยะยาวสำหรับการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

ผลข้างเคียงของการใช้เป็ป

ผลข้างเคียงของการใช้ เป็ป สามารถแตกต่างไปตามยาที่รับรายการและปัจจัยของบุคคลแต่ละคน ต่อไปนี้คือผลข้างเคียงที่พบบ่อยของการรับเป็ป

  • คลื่นไส้และอาเจียน
  • เหนื่อยล้า
  • ปวดหัว
  • ท้องเสีย
  • ผื่นหนัง
  • เปลี่ยนแปลงในการรับประทานอาหาร
  • ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อ
  • การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์

ควรทราบว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีผลข้างเคียงเหล่านี้ และบางคนอาจไม่มีผลข้างเคียงเกิดขึ้นเลย อีกทั้ง ประโยชน์ของ เป็ปในการป้องกันการแพร่ระบาดของ เอชไอวี จะมีความสำคัญมากกว่าความเสี่ยงของผลข้างเคียง หากคุณมีอาการข้างเคียงที่เป็นปัญหาหรือเป็นอย่างต่อเนื่องขณะรับ เป็ป ควรติดต่อแพทย์เพื่อขอคำแนะนำต่อไป

PEP

ประสิทธิภาพของ PEP

สามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อเอชไอวีได้เมื่อเริ่มใช้โดยทันทีหลังจากการสัมผัสเชื้อ การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการให้ เป็ป ทันทีหลังจากการสัมผัสสามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อเอชไอวี ได้ถึง 80% ประสิทธิภาพของ เป็ป ขึ้นอยู่ระยะเวลาในการทาน เป็ปจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อเริ่มต้นใช้โดยทันทีหลังจากการสัมผัสเชื้อ โดยที่ต้องเริ่มต้นภายหลังจากการสัมผัส ไม่นานเกิน 72 ชั่วโมง ความล่าช้าในการทานยาครั้งแรกอาจทำให้เพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น

เป็ป จะต้องทานต่อเนื่องเป็นเวลา 28 วัน การทำความเข้าใจเกี่ยวกับระยะเวลาการทานยาเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี เป็ป จะลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ HIV ได้อย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ป้องกันได้ 100% ดังนั้นควรปฏิบัติตามวิธีที่ปลอดภัยขึ้นเพิ่มเติม เช่น การใช้ถุงยางอนามัย จะทำให้ป้องกันได้มากขึ้น

ข้อพึงระวัง

ข้อควรระวัง เป็ปสามารถป้องกันเอชไอวีมากกว่า 80 % ได้จริงหากทานยาอย่างถูกต้องและหมั่นตรวจเอชไอวีอย่าสม่ำเสมอแต่เป็ปไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆได้ดังนั้น การใช้ถุงยางอนามัย จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปฎิบัติเพราะถุงยางอนามัยสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้และสามารถป้องกันเอชไอวีได้ หากใช้ควบคู่ไปกับการทาน เป็ป ยิ่งทวีคูณความปลอดภัยเพิ่มขึ้นหายห่วงเรื่องเพศและสร้างความมั่นใจให้กับคู่ของตนเอง

“ถึงแม้ว่า เป็ป จะป้องกันเอชไอวีได้ แต่ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆได้ ดังนั้นถุงยางอนามัยเป็นตัวเลือกที่มาควบคู่กับเป็ปได้ดี”

ปัจจัยสำคัญของ เป็ป ก่อนที่จะเริ่มการรักษาเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง โดยการพิจารณาปัจจัยเช่นเกณฑ์ความเหมาะสม ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น การปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การปฏิบัติตามระเบียบการรักษาที่กำหนดไว้และความรู้เกี่ยวกับ เป็ป จะสามารถช่วยป้องกันและเพิ่มความปลอดภัยของตนเองในสถานการณ์ที่มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีในที่สุด เป็ป เป็นสิ่งที่สำคัญในการต่อสู้กับ HIV/AIDS ที่สามารถช่วยให้บุคคลสามารถควบคุมสุขภาพทางเพศและลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของเอชไอวี ได้

Similar Posts

  • ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง

    การติดเชื้อเอชไอวีนับว่าเป็นปัญหาระดับโลกที่หน่วยงานระดับสากล ได้ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยมุ่งหวังที่จะลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่สามารถค้นพบวิธีการรักษาให้หายขาดได้ 100% แต่การพัฒนาที่ก้าวล้ำมากที่สุดในตอนนี้ คือการรักษาผู้ป่วยให้สามารถมีชีวิตร่วมกับเชื้อเอชไอวีได้อย่างปกติ และที่ขาดไม่ได้คือการพัฒนาชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ( HIV Self Test) ซึ่งมีส่วนช่วยในการตรวจคัดกรองเอชไอวีเบื้องต้นได้ง่ายดาย อีกทั้งยังเข้าถึงผู้เสี่ยงต่อการติดเชื้อในระดับครัวเรือนอย่างทั่วถึงมากขึ้นด้วยเช่นกัน ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองคืออะไร? ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ( HIV Self Test) คือ ชุดเครื่องมือที่ทางการแพทย์ที่ได้ออกแบบมาอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ที่ต้องการทราบผลเลือดได้สามารถตรวจด้วยตัวเองอย่างสะดวกรวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่านความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี แต่ไม่ต้องการหรือไม่สะดวกในการเข้ารับการตรวจคัดกรองยังสถานพยาบาล เนื่องจากต้องการความเป็นส่วนตัวมากกว่า ซึ่งชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองได้มีการพัฒนาขึ้นโดยมีจุดประสงค์ให้ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงการตรวจเอชไอวีได้ง่ายมากยิ่งขึ้น โดยชุดตรวจที่มีประสิทธิภาพจะต้องได้รับการรับรองจากองค์กรระดับสากลอย่างถูกต้อง ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองดีไหม น่าเชื่อถือหรือไม่?  ข้อสงสัยนี้ถือว่าเป็นหัวข้อสำคัญที่หลายคนให้ความสนใจอย่างมาก เนื่องจากไม่มั่นใจว่าการตรวจเอชไอวีด้วยตนเองนั้น จะมีความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพแม่นยำเช่นเดียวกับการตรวจภายในสถานพยาบาลหรือไม่ ประกอบกับสามารถพบเห็นการขายชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองผ่านทางอินเทอร์เน็ตมากมาย ซึ่งง่ายและราคาค่อนข้างถูกจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าความน่าเชื่อถือของชุดตรวจจะดีหรือไม่อย่างไร โดยจากการประกาศอย่างเป็นทางการของคณะกรรมการอาหารและยา รวมถึงประกาศของกระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี 2562 ได้ปลดล็อกชุดตรวจเอชไอวีให้จำหน่ายได้อย่างถูกต้องในประเทศไทย ทั้งนี้จะต้องขึ้นทะเบียนและมีคุณสมบัติต่าง ๆ ตามกำหนดอย่างเคร่งครัด หากผู้ที่ต้องการใช้งานชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองเลือกซื้อผ่านแหล่งจำหน่ายที่ได้มาตรฐานย่อมส่งผลให้ได้รับชุดตรวจที่เชื่อถือได้เช่นเดียวกัน สิ่งสำคัญคือคุณสามารถหาซื้อได้อย่างสะดวกไม่ต้องเดินทางไปตรวจให้เสียเวลา ไม่ต้องเสียความเป็นส่วนตัวทางด้านข้อมูลให้ลำบากใจอีกต่อไป ทั้งนี้ยังได้รับผลการตรวจที่แม่นยำเทียบเท่าการตรวจในสถานพยาบาลอีกด้วย บทความอื่นๆ : มารู้จักเอดส์ กับระยะของการติดเชื้อ และผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงสังเกตตนเองอย่างไร จองตรวจเอชไอวี ฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่าย…

  • | | |

    ยาเป๊ป (PEP) ยาต้านฉุกเฉินป้องกันเอชไอวี

    ยาต้านไวรัสเอชไอวีเป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งหรือต้านการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี ช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้สูงสุดถึง 99% หากมีการใช้อย่างถูกวิธี Exposure prophylaxis เป็นยาที่ทานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี เท่านั้น ไม่ได้รวมถึงโรคอื่น โดยก่อนการรับยาต้องมีการประเมินความเสี่ยงจากประวัติของคนไข้ว่าตรงตามเงื่อนไขการรับยาหรือไม่ ประกอบกับการตรวจเลือดตามมาตรฐานสากล(คนไข้ที่จะรับยาจะต้องมีผลเอชไอวี เป็นลบ) และยาในกลุ่มนี้ต้องพิจารณาจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น การทานยา เป๊ป(PEP) จะต้องทานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 1 เดือน และทานยาต้านไวรัสประกอบกัน 2-3 ชนิด ซึ่งเป็นวิธีเดียวกันกับผู้มีเชื้อเอชไอวี แต่ยาต้านไวรัสส่วนมาก มักมีผลข้างเคียง บางรายอาจมีอาการท้องเสีย ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน และอิดโรย โดยผลข้างเคียงนี้อาจมีอาการรุนแรงในบางราย จนทำให้เป็นสาเหตุของผู้ทานยา หยุดยาไปก่อนที่จะทานครบกำหนด สาเหตุที่ต้องรับยาเป๊ป ( PEP ) ยาเป๊ป (PEP) เป็นยาต้านฉุกเฉิน ในกรณีการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันและควรเก็บไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น และการรับยา PEP จะช่วยยับยั้งการกลายเป็นตัวไวรัสที่สมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ร่างกายของผู้ป่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันในการป้องกันก่อนจะแพร่กระจายในร่างกายได้ ดังนั้นจึงควรรับประทานยาให้เร็วที่สุด ต้องกินยาเป๊ป ( PEP ) นานแค่ไหน การกินยา PEP ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดจะต้องกินภายใน…

  • อะไรคือ เพร็พกับเป๊ป

    เพร็พกับเป๊ป นั้นมีความแตกต่างกันในแง่ของสถานการณ์การใช้งาน ยาเพร็พ (PrEP) หรือภาษาอังกฤษที่ว่า Pre-Exposure Prophylaxis คือ ยาที่ใช้รับประทานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนที่จะมีความเสี่ยง เรียกง่ายๆ ว่าเป็นยาที่ทานก่อนมีเซ็กส์นั่นเอง ส่วนยาเป๊ป (PEP) ภาษาอังกฤษเรียกว่า Post-Exposure Prophylaxis คือ ยาที่ใช้รับประทาน เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังมีความเสี่ยง หรือทานในกรณีฉุกเฉินไม่เกินระยะเวลา 72 ชั่วโมง ซึ่งตัวยาทั้งสองนี้ช่วยให้คนที่มีความเสี่ยงสูง ในการติดเชื้อเอชไอวี ได้รับการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย เพร็พกับเป๊ป คืออะไร? คือ ยาชนิดรับประทานที่มีประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ ได้แก่ ยาเพร็พนี้ จะสามารถใช้ได้กับคนที่ยังไม่มีเชื้อเอชไอวีเท่านั้น และควรสวมถุงยางอนามัยควบคู่ไปกับการทานยานี้อย่างเคร่งครัด สิ่งที่ควรรู้ไว้ทั้ง เพร็พกับเป๊ป ไม่อาจป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ในผู้หญิง โรคติดเชื้อแบคทีเรีย และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ การสวมถุงยางอนามัยจึงมีความจำเป็นอย่างมาก จำไว้ว่ายาเพร็พจะมีประสิทธิภาพดี เมื่อรับประทานอย่างต่อเนื่องและถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์ สำหรับผู้ชายควรทานยาก่อนมีความเสี่ยงล่วงหน้า 7 วัน และผู้หญิงควรทานยาก่อนมีความเสี่ยงล่วงหน้า 20 วัน เพื่อให้ตัวยาได้คงอยู่ในกระแสเลือด และทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ ยาเป๊ป PEP (Post-Exposure Prophylaxis)…

  • | | | | |

    Undetectable แล้วไม่ป้องกันได้ไหม ปลอดภัยจริงไหม?

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิด หรือ “U=U” ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแพทย์และสาธารณสุข โดยคำว่า “Undetectable” หมายถึงการที่ปริมาณไวรัส HIV ในเลือดของผู้ติดเชื้อลดต่ำจนไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยการทดสอบมาตรฐาน ซึ่งเกิดจากการที่ผู้ติดเชื้อได้รับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัส (ART) อย่างสม่ำเสมอ แนวคิด U=U เป็นที่ยอมรับทางวิทยาศาสตร์ว่า ผู้ที่มีปริมาณไวรัส HIV ต่ำจนตรวจไม่พบ ไม่สามารถแพร่เชื้อให้คู่นอนผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้ อย่างไรก็ตาม คำถามที่หลายคนยังคงสงสัยคือ ถ้าไวรัสตรวจไม่พบแล้ว สามารถมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยได้ไหม และมันปลอดภัยจริงหรือ?

  • | | |

     ยาต้านไวรัสเอชไอวี

    เอชไอวี คือ เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่จำเป็นต้องป่วยเป็นโรคเอดส์เสมอไป หากมีการติดเชื้อเอชไอวีแล้วนั้นเชื้อจะอยู่ในร่างกายผู้ติดเชื้อตลอดไป  ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาการติดเชื้อเอชไอวีให้หายขาดได้ แต่มียาต้านไวรัสเอชไอวี ซึ่งถ้าผู้ติดเชื้อเอชไอวีกินยาได้เร็ว กินยาอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ สามารถทำให้ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพที่แข็งแรงเป็นระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อเอชไอวีนี้ไปยังผู้อื่นได้ด้วย ซึ่งจะใช้ช่วงก่อนหรือหลังจากการสัมผัสเชื้อ HIV สำหรับยาที่รับประทานเพื่อลดความเสี่ยงก่อนการติดเชื้อนั้น เรียกว่ายา PrEP ซึ่งย่อมาจาก Pre-Exposure Prophylaxis (ยาต้านก่อนเสี่ยง) และยาที่รับประทานเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังจากสัมผัสเชื้อนั้น เรียกว่ายา PEP โดยย่อมาจาก Post -Exposure Prophylaxis (ยาต้านฉุกเฉิน) ยาต้านหรือยารักษา HIV มีกี่แบบ ปัจจุบันยาต้าน ยารักษา HIV หรือที่เรียกว่ายา Antiretroviral (ARV) นั้นที่ใช้กันนั้น ดังนี้ ในประเทศไทย ยาเพร็พมีให้บริการอย่างแพร่หลาย และประชาชนสามารถเข้าถึงได้ผ่านผู้ให้บริการด้านสุขภาพ คลินิก และองค์กรต่าง ๆ ดังนี้: ยาต้านไวรัส HIV ราคาเท่าไหร่ ยาต้านไวรัส HIV ต้องทานตอนไหน และการปฏิบัติตัวหลังทานยาต้าน…

  • | | |

    การป้องกันการติดเชื้อโรคฉวยโอกาส

    โรคเอดส์เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายของผู้ป่วยนั้นถูกทำลายจนไม่สามารถต้านทานต่อโรค หรือการติดเชื้ออื่น ๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา โปรโตซัว ซึ่งปกติไม่ทำให้เกิดโรคในคนที่มีสุขภาพปกติ แต่สามารถเกิดได้กับผู้ป่วย บางครั้งอาจรุนแรงเป็นเหตุทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ โรคติดเชื้อฉวยโอกาส คืออะไร โรคติดเชื้อฉวยโอกาส Opportunistic Infections คือ การติดเชื้อที่มีสาเหตุมาจากเชื้อโรคที่จะไม่ค่อยเกิดกับคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่สมบูรณ์ดี แต่สามารถทำให้เกิดความเจ็บป่วยได้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ซึ่งมักจะพบในผู้ป่วยโรคเอดส์ และผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้  โดยติดเชื้อที่เกิดจาก แบคทีเรีย , เชื้อรา , ปรสิต หรือไวรัส  เชื้อรา ปรสิต จำนวน CD4 อยู่ในระดับ100-200/µL จำนวน CD4 อยู่ในระดับ50-100/µL จำนวน CD4 อยู่ในระดับ < 50 /µL สาเหตุติดเชื้อโรคฉวยโอกาส ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือภูมิคุ้มกันบกพร่องมีลักษณะเฉพาะ คือ การไม่มี หรือการหยุดชะงักในส่วนประกอบของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งนำไปสู่ระดับภูมิคุ้มกัน และภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคที่ต่ำกว่าปกติ อาจเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ : อาการติดเชื้อโรคฉวยโอกาส…