การตรวจเอชไอวี

หากพูดถึง การตรวจเอชไอวี (HIV) หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวและหลายคนเข้าใจผิด คิดว่าการตรวจเอชไอวี (HIV) นั้นยุ่งยาก ทำให้ไม่กล้ามาตรวจเพราะกลัว แต่จริงๆ แล้วการตรวจเอชไอวี HIV นั้นง่ายมาก เพียงแค่เจาะเลือดและรู้ผลได้เร็ว ที่สำคัญคนไทยทุกคน มีสิทธิตรวจฟรีถึงปีละ 2 ครั้ง แม้แต่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ก็สามารถเข้ารับการตรวจได้โดยไม่ต้องมีผู้ปกครองอีกด้วยทำให้การตรวจเอชไอวี (HIV) นั้นง่ายและสะดวกกว่าเดิม

เอชไอวี คืออะไร?

เอชไอวี ย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus คำว่า “ภูมิคุ้มกันบกพร่อง” หมายความว่าเชื้อไวรัสชนิดนี้ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆและทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันทำให้ร่างกายของคนเราสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อต่างๆได้ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงเรื่อยๆ ในที่สุดทำให้ผู้ที่ติดเชื้อเอช ไอ วีจะไม่สามารถต้านการติดเชื้อต่างๆได้ เช่น วัณโรคหรือมะเร็ง: เราเรียกภาวะนี้เรียกว่า ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์

Love2test”></a></div>




<h2 class=ระยะของการติดเชื้อเอชไอวี

การติดเชื้อเอชไอวีมีทั้งหมด 3 ระยะ โดยแต่ละระยะมีอาการที่แตกต่างกันไป ดังนี้

  • ระยะเฉียบพลัน เป็นระยะที่เกิดขึ้นในช่วง 2-4 สัปดาห์หลังจากติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยในระยะนี้จะมีเชื้ออยู่ในเลือดเป็นจำนวนมาก และแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ง่าย ในช่วงแรกอาจมีอาการคล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นการตอบสนองของร่างกายจากการติดเชื้อ โดยอาจมีอาการดังนี้
    • มีไข้
    • เจ็บคอ
    • ปวดศีรษะ
    • หนาวสั่น
    • อ่อนเพลียมากผิดปกติ
    • ต่อมน้ำเหลืองบวม
    • มีผื่นแดงและนูนที่ผิวหนัง
    • ปวดกล้ามเนื้อ
  • ระยะอาการสงบ เป็นระยะที่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกาย แต่มีอัตราการเพิ่มจำนวนของเชื้ออยู่ในปริมาณต่ำ ทำให้ผู้ป่วยอาจไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาให้เห็น แต่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้หากไม่ระมัดระวัง ทั้งนี้ ระยะอาการสงบนี้อาจเกิดขึ้นเป็นเวลายาวนานกว่า 10 ปี ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคล เพราะผู้ป่วยในระยะอาการสงบบางรายอาจต้องรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอเพื่อควบคุมอาการและลดโอกาสในการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
  • ระยะเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome: AIDS) หากผู้ป่วยไม่รับประทานยาหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้เชื้อเอชไอวีเพิ่มจำนวนขึ้นและทำลายภูมิคุ้มกัน เป็นเหตุให้อาการของผู้ป่วยเข้าสู่ระยะเอดส์ซึ่งเป็นระยะที่มีความรุนแรงที่สุดในการติดเชื้อเอชไอวี เพราะมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคฉวยโอกาส เช่น แบคทีเรียหรือเชื้อรา โดยอาการในระยะเอดส์ที่มักพบ มีดังต่อไปนี้
  • มีอาการหนาวสั่น และเหงื่อออกในเวลากลางคืน
  • มีไข้สูงกว่า 37.8 องศาเซลเซียสติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • มีจุดสีขาวภายในช่องปาก
  • เกิดผื่นสีน้ำตาล แดง ม่วงหรือชมพู
  • อ่อนเพลียอย่างรุนแรง
  • มีแผลบริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนัก
  • น้ำหนักลดลงผิดปกติ
  • มีอาการไออย่างต่อเนื่องและมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ
  • ปอดบวม
  • ปวดศีรษะเรื้อรัง
  • มีปัญหาเรื่องความจำ

ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่เข้าสู่ระยะเอดส์ต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะหากไม่รักษาจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิต โดยคาดการณ์ว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาจะมีชีวิตอยู่ได้หลังจากเข้าสู่ระยะเอดส์ประมาณ 3 ปีเท่านั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ

ใครบ้างที่ควรเข้ารับการตรวจเอชไอวี

การตรวจเพื่อให้เกิดความมั่นใจได้ว่าเราได้รับเชื้อหรือไม่ หากไม่ได้รับเชื้อจะได้รู้สึกสบายใจ แต่หากพบว่าตัวเองเสี่ยงติดเชื้อจะได้สามารถรักษาอาการได้โดยเร็ว โดยกลุ่มคนที่ควรเข้ารับการตรวจเอชไอวี ได้แก่ ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีความเสี่ยง หญิงตั้งครรภ์ ทารกที่คลอดโดยแม่ที่มีความเสี่ยง และ ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ

ขั้นตอนการตรวจเอชไอวี

ขั้นตอนที่ 1

หากพบว่าตัวเอง หรือ คนใกล้เคียงมีความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวี ให้รีบติดต่อโรงพยาบาล หรือ คลินิคนิรนาม เพื่อเข้ารับการตรวจ

“ChatLove2test"

ขั้นตอนที่ 2

เมื่อเดินทางไปถึงสถานที่ตรวจ ทางสถานตรวจจะมีการพาเข้าไปพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพูดคุยประเมินความเสี่ยง และเซ็นชื่อในใบยินยอมเพื่อตรวจเอชไอวี โดยใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที

ขั้นตอนที่ 3

ทางแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะมีการพิจารณาว่าคุณมีความเสี่ยงมากี่วันแล้ว และเหมาะสมที่จะเข้ารับการตรวจโดยรูปแบบใด โดยทุกวิธีที่มีการเจาะเลือดเพื่อตรวจเอชไอวี ไม่ต้องงดน้ำ งดอาหารก่อนเข้ารับการตรวจ

“PrEPLove2test"

ขั้นตอนที่ 4

ฟังผลการตรวจ ซึ่งระยะเวลาโดยส่วนใหญ่จะสามารถทราบภายในวันที่เดินทางเข้ารับการตรวจ ขึ้นอยู่กับสถานที่รับการตรวจ

ขั้นตอนที่ 5

ในขั้นตอนสุดท้ายทางแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญ จะให้คำแนะนำในกรณีที่

  • ผลเลือดเป็นลบ หรือ non-reactive แสดงว่าผู้เข้ารับการตรวจไม่มีเชื้อ หรืออาจยังไม่พบเชื้อ เนื่องจากอยู่ในระยะฟักตัว แนะนำให้มาตรวจซ้ำอีกครั้งในระยะ 3-6 เดือน และใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • ผลเลือดเป็นบวก หรือ reactive เจ้าหน้าที่จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเอง และส่งต่อเพื่อเข้าสู่ระบบการรักษาและรับยาต่อไป ซึ่งสามารถใช้สิทธิการรักษาและส่งต่อเพื่อเข้าสู่ระบบการรักษาและรับยาได้ฟรีที่โรงพยาบาลของรัฐและเอกชนตามสิทธิ (ประกันสังคมหรือหลักประกันสุขภาพ)

การตรวจเอชไอวีมีกี่แบบ

ในปัจจุบันที่นิยมตรวจกันจะมีทั้งหมด 4 รูปแบบ คือ

  1. การตรวจแบบ Anti-HIV​​​​  สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงในช่วงระยะเวลานานกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา โดยการตรวจหาภูมิคุ้มกัน (antibody) ของร่างกายที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองการที่มีเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย สามารถให้ผลได้ใน 1-2 ชั่วโมงหลังการตรวจ ซึ่งผลที่ได้จะเป็นผลที่ย้อนหลังไปประมาณ 1 เดือนก่อนหน้านี้
  2. การตรวจแบบ NAT (Nucleic Acid Testing) การหาสารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวี หรือแกนในของเชื้อ เป็นวิธีที่มีความไวที่สุด สามารถชี้วัดผลจากร่างกายย้อนหลังไปประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังจากที่ได้รับความเสี่ยง วิธีนี้ใช้ในการตรวจคัดกรองเลือดผู้บริจาคโลหิต แต่ยังไม่นำมาใช้ในการตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อเอชไอวีในสถานพยาบาล
  3. การตรวจแบบ Rapid HIV Test ใช้เวลาในการรอผลเพียง 20 นาทีเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะได้ผลตรวจที่เร็วกว่าวิธีอื่น ๆ แต่ก็เป็นเพียงการตรวจเพื่อคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น แม้ว่าผลตรวจจะออกมาเป็นบวก (พบเชื้อ HIV) ผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการตรวจซ้ำอีกครั้งด้วยวิธีการอื่นเพื่อยืนยัน
  4. การตรวจหาแอนติเจนของเชื้อเอชไอวี หรือ เรียกอีกชื่อว่า การตรวจแบบ NAAT – Nucleic Acid Amplification Testing สามารถตรวจได้ภายหลังการติดเชื้อประมาณ 14-15 วัน

ทำไมต้องตรวจเอชไอวี

ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวี ควรรีบเข้ารับการตรวจคัดกรองเพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อ เนื่องจากการวินิจฉัยแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความกังวลใจ นอกจากนี้ถ้าผู้รับการตรวจติดเชื้อเอชไอวี จะทำให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง รวดเร็ว ได้รับทราบข้อมูลในการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รวมถึงเทคนิคในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคเพื่อ ลดความเสี่ยงที่จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีและนำไปสู่ผู้ป่วยโรคเอดส์เต็มขั้น

ตรวจเอชไอวีได้ที่ไหนบ้าง

การตรวจเอชไอวีในไทยนั้น สามารถตรวจได้ฟรี ปีละ 2 ครั้ง ที่โรงพยาบาลรัฐ ศูนย์อนามัย คลินิกที่ร่วมรายการ แต่ควรโทรสอบถามก่อนล่วงหน้า เพื่อความมั่นใจว่าสามารถตรวจได้ฟรีจริงหรือไม่   หรือคลินิกพิเศษต่างๆ เช่น คลีนิคนิรนาม หรือคลินิกพิเศษของศูนย์ดรอปอินต่าง ๆ เป็นต้น ผู้ที่สนใจสามารถตรวจสอบรายชื่อสถานบริการที่เข้ารับบริการ เพื่อดูวัน เวลา และสถานที่ให้บริการ บริการที่มี และเงื่อนไขการให้บริการต่าง แต่ทางเลือกอีกทางสำหรับผู้ที่ ไม่ต้องการเดินทาง ไปตรวจที่สถานพยาบาลเลย แค่เพียงไม่มั่นใจ ว่าได้รับความเสี่ยงมา จริงหรือไม่ คุณสามารถซื้อ ชุดตรวจคัดกรองเอชไอวีด้วยตนเอง มาตรวจก่อนได้  ซึ่งการแปลผล จะสามารถบอกได้ว่าคุณเสี่ยง หรือไม่เสี่ยง

ตรวจเอชไอวีราคาเท่าไร

  • คลินิกนิรนาม ตรวจแบบรู้ผลทันทีจะเริ่มต้นที่ 200 บาท ตรวจด้วยวิธี PCR เริ่มต้นที่ 1,500 บาท
  • ตรวจที่ LAB ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 500-2,500 บาท ขึ้นอยู่กับวิธีการตรวจ(รู้ผล 1 สัปดาห์)
  • โรงพยาบาลเอกชน ค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ประมาณ 600-3,000 บาท
  • โรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลของรัฐที่เข้าร่วมโครงการ และสามารถตรวจเอชไอวีได้ฟรี ปีละ 2 ครั้ง เพียงมีบัตรประชาชน และทั้งนี้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ก็สามารถ ตรวจ HIV ฟรี ได้โดยไม่ต้องขออนุญาต จากผู้ปกครอง ไม่ต้องอดข้าว อดน้ำ ก่อนไปตรวจ

ปัจจุบันมีหน่วยงานต่างๆ ที่คอยช่วยพัฒนาวิธีการตรวจเอชไอวีให้สะดวกสบาย รวดเร็ว แต่สิ่งสำคัญที่สุดในการตรวจ คือ การเตรียมความพร้อมของผู้ตรวจ กล้าที่จะเข้ารับการตรวจ เพราะยิ่งเข้ารับการตรวจได้เร็วเท่าไหร่ ยิ่งช่วยให้คุณสามารถวางแผนการใช้ชีวิตต่อไปได้เร็วขึ้น

อ่านบทความอื่นๆ

Similar Posts

  • | | | |

    Untransmittable ความสำคัญที่เปลี่ยนแปลงชีวิตและสังคม

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “Untransmittable” ที่มาพร้อมแนวคิด “ตรวจไม่เจอ = ไม่แพร่เชื้อ” (U=U) ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแพทย์และสังคมทั่วโลก แนวคิดนี้ไม่เพียงแค่ช่วยปรับปรุงชีวิตของผู้ติดเชื้อ HIV แต่ยังเปลี่ยนแปลงทัศนคติและการยอมรับในสังคมต่อผู้ที่มีเชื้อ HIV ด้วย

  • |

    U=U&ME แคมเปญใหม่เพื่อหยุดตีตราผู้ติดเชื้อ!

    เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 ได้มีการจัดถ่ายภาพที่ Crimson Studio ในกรุงเทพฯ สำหรับแคมเปญที่ชื่อว่า “U=U&ME” ซึ่งดำเนินการโดยมูลนิธิ Love Foundation Thailand แคมเปญนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและเสริมความรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตร่วมกับเอชไอวี โดยมุ่งเน้นการให้ความรู้และการต่อต้านการตีตราผู้ติดเชื้อเอชไอวี

  • Love2Test แพลตฟอร์มสุขภาพทางเพศที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน

    ปัจจุบัน สุขภาพทางเพศเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) และเอชไอวี (HIV) ยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนทั่วโลก แม้ว่าความก้าวหน้าทางการแพทย์จะช่วยให้มีวิธีป้องกันและรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่การเข้าถึงบริการเหล่านี้ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับหลายคน Love2Test จึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนสามารถตรวจหาเอชไอวีและดูแลสุขภาพทางเพศได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และเป็นส่วนตัว บทบาทสำคัญของLove2Test ในการลดการแพร่ระบาดของเอชไอวีในประเทศไทย Love2Testเป็นแพลตฟอร์มนวัตกรรมที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันและลดการแพร่ระบาดของเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ชุดตรวจมาตรฐาน และแนวทางป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ทุกคนสามารถดูแลสุขภาพทางเพศของตนเองได้โดยไม่ต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนหรือมีไลฟ์สไตล์แบบใด Love2Testพร้อมเป็นผู้ช่วยที่เชื่อถือได้ในการดูแลสุขภาพทางเพศของคุณ ความสำคัญของการตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ การตรวจหาเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกัน และควบคุมการแพร่ระบาดของโรค การตรวจพบเชื้อในระยะแรกช่วยให้สามารถเริ่มต้นการรักษาได้เร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยลดโอกาสในการแพร่เชื้อและช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีสุขภาพที่ดี ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง การใช้ ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ขณะที่ PEP (Post-Exposure Prophylaxis) เป็นตัวเลือกที่ช่วยลดความเสี่ยงหลังจากได้รับเชื้อ การตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอไม่เพียงช่วยป้องกันโรค แต่ยังเป็นการดูแลตัวเองและคนที่คุณรักให้ปลอดภัยอีกด้วย บริการที่ครอบคลุมจากLove2Test Love2Testมอบบริการด้านสุขภาพทางเพศแบบครบวงจร ได้แก่ Love2Testทำให้การดูแลสุขภาพทางเพศเป็นเรื่องง่ายและไร้กังวล ใครบ้างที่ควรใช้ Love2Test แพลตฟอร์มนี้ออกแบบมาเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการตรวจเอชไอวีและข้อมูลด้านสุขภาพทางเพศได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และเป็นส่วนตัว โดยเหมาะสำหรับ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในกลุ่มใด…

  • ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง

    การติดเชื้อเอชไอวีนับว่าเป็นปัญหาระดับโลกที่หน่วยงานระดับสากล ได้ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยมุ่งหวังที่จะลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่สามารถค้นพบวิธีการรักษาให้หายขาดได้ 100% แต่การพัฒนาที่ก้าวล้ำมากที่สุดในตอนนี้ คือการรักษาผู้ป่วยให้สามารถมีชีวิตร่วมกับเชื้อเอชไอวีได้อย่างปกติ และที่ขาดไม่ได้คือการพัฒนาชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ( HIV Self Test) ซึ่งมีส่วนช่วยในการตรวจคัดกรองเอชไอวีเบื้องต้นได้ง่ายดาย อีกทั้งยังเข้าถึงผู้เสี่ยงต่อการติดเชื้อในระดับครัวเรือนอย่างทั่วถึงมากขึ้นด้วยเช่นกัน ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองคืออะไร? ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ( HIV Self Test) คือ ชุดเครื่องมือที่ทางการแพทย์ที่ได้ออกแบบมาอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ที่ต้องการทราบผลเลือดได้สามารถตรวจด้วยตัวเองอย่างสะดวกรวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่านความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี แต่ไม่ต้องการหรือไม่สะดวกในการเข้ารับการตรวจคัดกรองยังสถานพยาบาล เนื่องจากต้องการความเป็นส่วนตัวมากกว่า ซึ่งชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองได้มีการพัฒนาขึ้นโดยมีจุดประสงค์ให้ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงการตรวจเอชไอวีได้ง่ายมากยิ่งขึ้น โดยชุดตรวจที่มีประสิทธิภาพจะต้องได้รับการรับรองจากองค์กรระดับสากลอย่างถูกต้อง ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองดีไหม น่าเชื่อถือหรือไม่?  ข้อสงสัยนี้ถือว่าเป็นหัวข้อสำคัญที่หลายคนให้ความสนใจอย่างมาก เนื่องจากไม่มั่นใจว่าการตรวจเอชไอวีด้วยตนเองนั้น จะมีความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพแม่นยำเช่นเดียวกับการตรวจภายในสถานพยาบาลหรือไม่ ประกอบกับสามารถพบเห็นการขายชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองผ่านทางอินเทอร์เน็ตมากมาย ซึ่งง่ายและราคาค่อนข้างถูกจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าความน่าเชื่อถือของชุดตรวจจะดีหรือไม่อย่างไร โดยจากการประกาศอย่างเป็นทางการของคณะกรรมการอาหารและยา รวมถึงประกาศของกระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี 2562 ได้ปลดล็อกชุดตรวจเอชไอวีให้จำหน่ายได้อย่างถูกต้องในประเทศไทย ทั้งนี้จะต้องขึ้นทะเบียนและมีคุณสมบัติต่าง ๆ ตามกำหนดอย่างเคร่งครัด หากผู้ที่ต้องการใช้งานชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองเลือกซื้อผ่านแหล่งจำหน่ายที่ได้มาตรฐานย่อมส่งผลให้ได้รับชุดตรวจที่เชื่อถือได้เช่นเดียวกัน สิ่งสำคัญคือคุณสามารถหาซื้อได้อย่างสะดวกไม่ต้องเดินทางไปตรวจให้เสียเวลา ไม่ต้องเสียความเป็นส่วนตัวทางด้านข้อมูลให้ลำบากใจอีกต่อไป ทั้งนี้ยังได้รับผลการตรวจที่แม่นยำเทียบเท่าการตรวจในสถานพยาบาลอีกด้วย บทความอื่นๆ : มารู้จักเอดส์ กับระยะของการติดเชื้อ และผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงสังเกตตนเองอย่างไร จองตรวจเอชไอวี ฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่าย…

  • | | |

    ยาเพร็พ (PrEP) ป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อเอชไอวี

    ยาต้านไวรัสเอชไอวีเป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งหรือต้านการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี ช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้สูงสุดถึง 99% หากมีการใช้อย่างถูกวิธี Exposure prophylaxis เป็นยาที่ทานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี เท่านั้น ไม่ได้รวมถึงโรคอื่น โดยก่อนการรับยาต้องมีการประเมินความเสี่ยงจากประวัติของคนไข้ว่าตรงตามเงื่อนไขการรับยาหรือไม่ ประกอบกับการตรวจเลือดตามมาตรฐานสากล(คนไข้ที่จะรับยาจะต้องมีผลเอชไอวี เป็นลบ) และยาในกลุ่มนี้ต้องพิจารณาจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น เพื่อให้ร่างกายมีระดับยาที่เพียงพอในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยต้องจะรับประทานยาติดต่อกันทุกวันตลอดช่วงที่ยังมีความเสี่ยงอยู่ และการใช้ยาในลักษณะนี้จะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ โดยผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการตรวจเลือดก่อนเริ่มยาว่าตนไม่มีเชื้อเอชไอวี อยู่ก่อนแล้ว  ใครบ้างที่ควรได้รับยาเพร็พ (PrEP) ยาเพร็พ (PrEP) ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ได้กี่เปอร์เซ็นต์ การใช้ยา PrEP อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง โดยกินต่อเนื่องทุกวันไปอย่างน้อย 7 วันก่อนที่จะมีความเสี่ยง จะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อเอชไอวี จากการมีเพศสัมพันธ์ได้มากกว่า 90 % ส่วนในกรณีของผู้ใช้ยาเสพติดแบบฉีด สามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อลงได้ถึง 70% ดังนั้นถ้าเราอยากจะป้องกันให้ดีที่สุด ก็ควรกิน PrEP และใช้ถุงยางอนามัยด้วย เพราะหากพลาดอย่างใดอย่างหนึ่งไป (เช่น ถุงยางแตก หรือคู่ไม่ยอมใส่ หรือลืมกิน PrEP) ก็มีอีกอย่างที่ช่วยป้องกันเราจากการติดเชื้อเอชไอวีได้ ทำไงถ้าลืมทานยาเพร็พ (PrEP) หากลืมกินยา หรือกินยาไม่ตรงเวลาอย่างต่อเนื่อง สามารถ…

  • ยา เพร็พ (PrEP) คืออะไร ? คู่มือสุขภาพป้องกัน HIV

    ในยุคปัจจุบันที่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังคงเป็นปัญหาสำคัญต่อสังคม การป้องกันล่วงหน้าเป็นหนึ่งในแนวทางที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด ยา เพร็พ (PrEP) จึงถูกพัฒนาและนำมาใช้ในวงการสาธารณสุขทั่วโลก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV ในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับยาเพร็พอย่างละเอียด ตั้งแต่วิธีการใช้ ประโยชน์ ผลข้างเคียง ตลอดจนการเข้าถึงบริการในประเทศไทย เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและดูแลสุขภาพได้อย่างมืออาชีพ ความหมายและความสำคัญของ ยาเพร็พ ยาเพร็พ (PrEP) ย่อมาจาก Pre-Exposure Prophylaxis คือแนวทางป้องกันการติดเชื้อ HIV ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยใช้ยาต้านไวรัสที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถลดโอกาสการติดเชื้อ HIV ได้อย่างมีนัยสำคัญ ยาเพร็พจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่องค์การอนามัยโลก (WHO) และหน่วยงานด้านสุขภาพทั่วโลกแนะนำให้ใช้ในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมทั้งเสริมสร้างความมั่นใจในการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ประเภทของยาเพร็พและแนวทางการใช้ เพร็พมี 2 รูปแบบหลัก คือ เพร็พรายวัน และ เพร็พแบบตามความเสี่ยง เพร็พรายวัน คือ การรับประทานยาเป็นประจำทุกวัน เพื่อสร้างระดับยาคงที่ในร่างกาย เหมาะกับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อเนื่อง ส่วนเพร็พแบบตามความเสี่ยง ใช้เฉพาะช่วงที่คาดว่าจะมีความเสี่ยง โดยต้องรับประทานยาตามสูตร และช่วงเวลาที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด ก่อนเริ่มใช้ยาเพร็พ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ ตรวจหาเชื้อ HIV รวมถึงตรวจการทำงานของตับและไต หากผลตรวจผ่านเกณฑ์…