CD4 สำคัญอย่างไรกับผู้ติดเชื้อ HIV?

HIV เป็นเชื้อไวรัสที่จะทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค และเชื้อไวรัสต่าง ๆ เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาว ถูกทำลายจนอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะถูกเชื้อไวรัสเอชไอวีโจมตีจนไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้และก่อให้พัฒนาจนกลายเป็นโรคเอดส์ (AIDS) เต็มขั้น

การตรวจวัดจำนวน CD3/CD4/CD8 ในกระแสเลือด ซึ่งเป็น CD ที่มีความจำเพาะกับเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันชนิดที่ต้องมีการกระตุ้น ( Adaptive Immune Response ) คือ กลุ่มเม็ดเลือดขาว ชนิดที่สร้างแอนติบอดี ( B cells ) หรือ กลุ่มเม็ดเลือดขาวที่เป็นหน่วยความจำ ( T cells ) และมีความสำคัญต่อการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย

CD4 คืออะไร?

CD4 cells ย่อมาจากคำว่า Cluster of Differentiation 4 บางครั้งถูกเรียกว่า T-cells หรือ T-helper cells 

CD4 คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ที่มีหน้าที่ควบคุม และต่อสู้กับเชื้อโรค และมีบทบาทในการจัดระบบภูมิต้านทานของร่างกายต่อการติดเชื้อ แบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส

หลายคนอาจยังเข้าใจผิดว่า CD4 คือ เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือภูมิต้านทานในร่างกายของผู้ติดเชื้อเอชไอวีเพียงเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว ในคนที่ร่างกายปกติก็มีเซลล์เม็ดเลือดขาวหรือ CD4 เช่นเดียวกัน

กลไกของการติดเชื้อเอชไอวี หรือกระบวนการทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวของของเชื้อเอชไอวีกัน

การเข้าใจกลไกของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี เป็นการช่วยให้เราเข้าใจการทำงานของยาต้านไวรัส แต่ละประเภทด้วย โดยมี 5 ขั้นตอน ดังนี้

  1. เชื้อเอชไอวีเริ่มยึดเกาะเข้ากับผนัง CD4 โดยใช้หนามที่มีอยู่รอบ ๆ เซลล์แทงยึดที่เต้ารับของ CD4  จากนั้นจะเริ่มแทรกซึมเข้าไปในเซลล์ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของวงจรการติดเชื้อเอชไอวี
  2. หลังจากที่ยึดเแน่นแล้ว เยื่อหุ้มเอชไอวีจะผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเยื่อหุ้ม CD4 เมื่อเจาะเกราะหุ้ม CD4 ได้ เชื้อเอชไอวีจะพุ่งเข้าไปในเซลล์ CD4 ทันที
  3. เมื่อเข้าเซลล์ได้ รหัสพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวี (RNA) จะพุ่งสู่ใจกลางเซลล์ CD4 และก๊อบปี้ตัวเองขึ้นมา โดยขโมยโปรตีนของเซลล์ CD4 มาใช้ในการสร้างเนื้อตัวของลูกหลานตัวใหม่ เซลล์เอชไอวีรุ่นใหม่จะมีโครงสร้างที่ซับซ้อนกว่าของเก่า
  4. เมื่อได้ทุกสิ่งอย่างครบตามองค์ประกอบเดิมเชื้อเอชไอวี ตัวใหม่ก็จะผุดออกมาจากเซลล์ CD4 โดยดึงเนื้อหนังมังสามาจากผนังของ CD4 มาสร้างเปลือก
  5. กองทัพเชื้อเอชไอวีถูกปล่อยออกมาจาก CD4 พร้อม ๆ กันหลายตัว การแบ่งตัวแบบทวีคูณนี้ทำให้เชื้อเอชไอวีสามารถรวมกันเป็นขบวนการทำร้าย CD4 เซลล์อื่น ๆ ที่ยังแข็งแรงได้อย่างรวดเร็ว

หลังจากเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกายประมาณ 3-12 สัปดาห์ ร่างกายจะสังเคราะห์แอนติบอดี้เพื่อตรวจจับสิ่งแปลกปลอมออกมา เพื่อจะจับกุมเชื้อเอชไอวี แต่ก็สายไปแล้ว แอนติบอดี้ที่ร่างกายผลิตขึ้นมานี้ คือ สารที่ตรวจเจอเวลาเราไปตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวีนั้นเอง

หลังจากที่ CD4 ถูกทำลายแล้วจะเป็นอย่างไร

CD4 ที่ถูกเชื้อเอชไอวีใช้ในการแบ่งตัวจะไม่สามารถทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอม ได้อีกต่อไป CD4 เหล่านั้นจะหมดสภาพ และถูกทำลายไป ทั้งทางตรงและทางอ้อม

ทางตรง:  CD4 ที่ติดเชื้อจะเอชไอวีถูกขโมยเนื้อเยื่อ และสารประกอบไปผลิตเชื้อเอชไอวีตัวใหม่ และเมื่อลูกหลานของเชื้อเอชไอวีจำนวนมากผุดออกมาจากเซลล์ CD4 ตัวนั้นจะตายลง เนื่องจากเนื้อเยื่อภายในถูกทำลายอย่างหนัก หรือถ้ายังไม่ตายในทันทีก็ จะหมดอายุและตายในเวลาต่อมา

ทางอ้อม:  CD4 ที่ติดเชื้ออาจตั้งโปรแกรม ทำลายตัวเอง (Apoptosis) เมื่อระบบ และกลไกการทำงานของเซลถูกรบกวนจากการผลิตลูกหลานของเชื้อเอชไอวี ผู้มีเชื้อส่วนใหญ่ จะมีเซลล์ Apoptosis ในกระแสเลือด และต่อมน้ำเหลืองจำนวนมากกว่าคนที่ไม่มีเชื้อเอชไอวี

ปริมาณ CD4 ในกลุ่มคนไม่ติดเชื้อ HIV

คนปกติที่มีสุขภาพแข็งแรง ระดับปกติของ CD4 ในคนที่ไม่ติดเชื้อ HIV จะอยู่ระหว่าง 400 – 1600 ต่อ เลือด 1 ลบ.มม. โดยจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวปกติระหว่าง 4,500 ถึง 10,000 เม็ดเลือดขาว หรือ wbc white blood cell ต่อไมโครลิตร

CD 4 ของผู้หญิงที่ไม่ติดเชื้อ HIV นั้นจะมีแนวโน้นมที่สูงกว่าเล็กน้อย คือ 500 – 1600.

ถึงแม้ว่าถ้าคุณไม่มีเชื้อ HIV แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณ CD4 ตามตัวอย่างต่อไปนี้

  • ผู้หญิงมี CD4 สูงกว่าผู้ชาย ประมาณ 100
  • CD4 ของผู้หญิงจะขึ้นและลงในช่วงที่มีประจำเดือน
  • ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดจะทำให้ CD4 ลดลงได้
  • บุคคลที่สูบบุหรี่จะมีแนวโน้มที่มี CD4 สูงกว่าปกติ ประมาณ 140
  • CD4 จะลดระดับลงในขณะที่ร่างกายพักผ่อน และลดลงได้มากถึง 40%
  • การหลับสนิทจะหมายถึง คุณจะมี CD4 ที่ต่ำในช่วงเช้า แต่จะมี CD4 ที่สูงขึ้นในช่วงบ่าย

ปัจจัยที่กล่าวมาไม่ทำให้เกิดความแตกต่างในการต่อต่านเชื้อโรคของระบบภูมิต้านทาน เนื่องจาก

CD4 ส่วนน้อยที่อยู่ในกระแสเลือด ส่วนที่เหลืออยู่ใน lymph nodes และ เนื้อเยื่อ และ การขึ้นลงที่กล่าวมาข้างบนนั้นอาจจะเกิดจากการย้ายตัวของ CD4 ระหว่าง เลือด และ เนื้อเยื่อ

CD4 ที่เท่าไหร่ถึงเรียกว่าระดับน่าเป็นห่วง

ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งจากการตรวจวัด CD4 จะอยู่ที่ระดับน้อยกว่า 200  ซึ่งมีโอกาสติดเชื้อต่าง ๆ เรียกว่า โรคติดเชื้อฉวยโอกาสเนื่องจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

ทั้งนี้หากผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีได้รับยาต้านไวรัส จะทำให้ค่า CD4  เพิ่มขึ้นตามลำดับ และจะเริ่มคงที่อยู่ที่ระดับ 500 – 600 ตามแต่สภาพทางร่างกายของแต่ละคน แต่ถึงอย่างไรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้ที่มีร่างกายปกติ การรับประทานอาหารให้ครบ  5 หมู่ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการพักผ่อนที่เพียงพอก็จะช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดีได้

CD4 สำคัญอย่างไร

ในการติดเชื้อเอชไอวีมีเพียงประมาณ 5-10% ของเซลล์ภูมิคุ้มกัน CD4 ส่วนที่เหลือ 90-95% ตายแล้วจากการทำลายของเชื้อเอชไอวี จะเห็นได้ว่าการที่ร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกัน เกิดจากจำนวน cd4 ที่ลดลง มากกว่าปัญหาจากจำนวนเชื้อ HIV ที่เพิ่มมากขึ้น เพราะถือว่าผู้ติดเชื้อนั้นเข้าสู่ระยะที่เป็นโรคเอดส์  และมีโอกาสที่จะเป็นโรคติดเชื้อฉวยโอกาส  เช่น โรคปอดอักเสบจากเชื้อ Pneumocystis (PCP) ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่พบมากในผู้ป่วยเอดส์เป็นอันดับ 2 รองจากวัณโรค

อ่านบทความอื่นๆ

Similar Posts