การป้องกันการติดเชื้อโรคฉวยโอกาส
| | |

การป้องกันการติดเชื้อโรคฉวยโอกาส

โรคเอดส์เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายของผู้ป่วยนั้นถูกทำลายจนไม่สามารถต้านทานต่อโรค หรือการติดเชื้ออื่น ๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา โปรโตซัว ซึ่งปกติไม่ทำให้เกิดโรคในคนที่มีสุขภาพปกติ แต่สามารถเกิดได้กับผู้ป่วย บางครั้งอาจรุนแรงเป็นเหตุทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้

โรคติดเชื้อฉวยโอกาส คืออะไร

โรคติดเชื้อฉวยโอกาส Opportunistic Infections คือ การติดเชื้อที่มีสาเหตุมาจากเชื้อโรคที่จะไม่ค่อยเกิดกับคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่สมบูรณ์ดี แต่สามารถทำให้เกิดความเจ็บป่วยได้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ซึ่งมักจะพบในผู้ป่วยโรคเอดส์ และผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้  โดยติดเชื้อที่เกิดจาก แบคทีเรีย , เชื้อรา , ปรสิต หรือไวรัส 

ประเภทของการติดเชื้อฉวยโอกาส

เชื้อโรคหลากหลายชนิดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อฉวยโอกาสซึ่งสามารถแบ่งประเภทได้ ดังนี้

แบคทีเรีย

  • Clostridioides difficile (เดิมเรียกว่า Clostridium difficile ) เป็นสายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นที่รู้จักที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
  • Legionella pneumophila เป็นเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุ ของโรคลูกจ้างมีการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ
  • Mycobacterium avium ซับซ้อน (MAC) เป็นกลุ่มของทั้งสองแบคทีเรีย M. aviumและ M. intracellulareที่มักจะร่วมการติดเชื้อที่นำไปสู่การติดเชื้อปอด ที่เรียกว่าเชื้อติดเชื้อ avium intracellulare
  • Mycobacterium tuberculosis เป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดวัณโรคซึ่งเป็นเชื้อทางเดินหายใจ 
  • Pseudomonas aeruginosa เป็นแบคทีเรียที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ มักเกี่ยวข้องกับโรคซิสติกไฟโบรซิส
  • ซัลโมเนลลา เป็นแบคทีเรียประเภทหนึ่งซึ่งทราบกันดีว่าทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร 
  • Staphylococcus aureus เป็นแบคทีเรียที่รู้จักกันว่าทำให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังและภาวะติดเชื้อในกลุ่มโรคอื่น ๆ ยวดเชื้อ S. aureusมีการพัฒนาหลายดื้อยาสายพันธุ์รวมทั้งเชื้อ MRSA
  • Streptococcus pneumoniae เป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
  • Streptococcus pyogenes (หรือที่เรียกว่า Streptococcus group A) เป็นแบคทีเรียที่สามารถก่อให้เกิดโรคต่างๆได้เช่นโรคพุพองและคอ strepตลอดจนโรคอื่น ๆ ที่ร้ายแรงกว่า

เชื้อรา

  • แอสเปอร์จิลลัส เป็นเชื้อราที่มักเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
  • Candida albicans เป็นเชื้อราชนิดหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเชื้อราในช่องปาก และการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
  • Coccidioides immitis เป็นเชื้อราที่รู้จักกันในชื่อ Coccidioidomycosisหรือที่เรียกกันทั่วไปว่า Valley Fever
  • Cryptococcus neoformans เป็นเชื้อราที่เป็นสาเหตุของ cryptococcosisซึ่งสามารถนำไปสู่การติดเชื้อในปอด เช่นเดียวกับการติดเชื้อในระบบประสาทเช่นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • Histoplasma capsulatum เป็นสายพันธุ์ของเชื้อราที่รู้จักกันเพื่อก่อให้เกิด histoplasmosisซึ่งสามารถนำเสนอกับอาร์เรย์ของอาการ แต่มักจะเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ 
  • destructans Pseudogymnoascus (เดิมชื่อ Geomyces destructans ) เป็นเชื้อราที่เป็นสาเหตุของซินโดรมสีขาวจมูกในค้างคาว
  • Microsporidia เป็นกลุ่มของเชื้อราที่แพร่เชื้อไปทั่วอาณาจักรสัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งสามารถทำให้เกิด microsporidiosisในโฮสต์ของมนุษย์ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • Pneumocystis jirovecii (เดิมเรียกว่า Pneumocystis carinii ) เป็นเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคปอดบวม pneumocystisซึ่งเป็นการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ

ปรสิต

“ChatLove2test"
  • Cryptosporidium เป็นโปรโตซัวที่ติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร
  • Toxoplasma gondii เป็นโปรโตซัวที่รู้จักกันในการก่อให้เกิดโรคท็อกโซพลาสโมซิส

ไวรัส

  • Cytomegalovirus เป็นกลุ่มของไวรัสฉวยโอกาสซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อทางเดินหายใจ
  • Human Polyomavirus 2 (หรือที่เรียกว่า JC virus) เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดโรคเม็ดเลือดขาวหลายชนิด ( progressive multifocal leukoencephalopathy (PML)) 
  • Human herpesvirus 8 (หรือที่เรียกว่า Kaposi sarcoma-associated herpesvirus) เป็นไวรัสที่เกี่ยวข้องกับ Kaposi sarcomaซึ่งเป็นมะเร็งชนิดหนึ่ง
  • Herpes Simplex Virus เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเริม (Herpes)
  • ไวรัสตับอักเสบซี (HCV)  เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของตับน้อยๆ แต่เรื้อรัง ทำให้เกิดพังผืดในตับ นำไปสู่ภาวะตับแข็งและมีโอกาสเกิดมะเร็งตับในที่สุด
อาการเชื้อโรคฉวยโอกาส

การติดโรคฉวยโอกาสที่อาจเกิดขึ้นเมื่อ CD4 อยู่ในระดับต่าง ๆ

จำนวน CD4 อยู่ในระดับ 200-500/µL

“PrEPLove2test"
  • ปอดอักเสบ (ส่วนใหญ่จากเชื้อแบคทีเรีย)
  • วัณโรคปอด หรือ Tuberculosis (TB)
  • การติดเชื้อยีสต์ในปากและช่องคลอด
  • งูสวัด
  • Oral hairy leukoplakia – ลิ้นหรือกระพุ้งแก้มเป็นฝ้าขาว
  • Kaposi’s sarcoma – โรคมะเร็งผิวหนังคาโปซี

จำนวน CD4 อยู่ในระดับ100-200/µL

  • โรคที่กล่าวมาแล้วข้างต้น (ระดับ 200-500/µL)
  • ปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมซีสตีส แครินีอาย (พีซีพี) 
  • Pneumocystis carinii (PCP) ท้องร่วงเรื้อรัง

จำนวน CD4 อยู่ในระดับ50-100/µL

  • โรคที่กล่าวมาแล้วข้างต้น (ระดับ100-200/µL)
  • สมองอักเสบ (ส่วนใหญ่จากเชื้อท็อกโซพลาสโมซิส – toxoplasmosis)
  • หลอดอาหารอักเสบจากเชื้อยีสต์ หรือไวรัส เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (ส่วนใหญ่จากเชื้อราคริปโตค็อกคัส – cryptococcus)
  • วัณโรคปอด
  • เริมเรื้อรัง
  • Primary brain lymphoma

จำนวน CD4 อยู่ในระดับ < 50 /µL

  • โรคที่กล่าวมาแล้วข้างต้น (ระดับ50-100/µL)
  • การติดเชื้อใกลุ่มมัยโคแบคทีเรียเอเวียม (แม็ค) Mycobacterium avium complex (MAC)
  • จอประสาทตาอักเสบ 
  • ท้องร่วง 
  • สมองอักเสบ จากเชื้อชัยโตเมกาโลไวรัส (ซีเอ็มวี)Cytomegalovirus (CMV)

สาเหตุติดเชื้อโรคฉวยโอกาส

ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือภูมิคุ้มกันบกพร่องมีลักษณะเฉพาะ คือ การไม่มี หรือการหยุดชะงักในส่วนประกอบของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งนำไปสู่ระดับภูมิคุ้มกัน และภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคที่ต่ำกว่าปกติ อาจเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ :

  • ภาวะทุพโภชนาการ
  • ความเหนื่อยล้า
  • การติดเชื้อซ้ำ
  • สารกระตุ้นภูมิคุ้มกันสำหรับผู้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ
  • การติดเชื้อเอชไอวีขั้นสูง
  • เคมีบำบัดสำหรับมะเร็ง
  • ความบกพร่องทางพันธุกรรม
  • ความเสียหายของผิวหนัง
  • การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่นำไปสู่การหยุดชะงักของจุลินทรีย์ทางสรีรวิทยาจึงทำให้จุลินทรีย์บางชนิดสามารถเอาชนะผู้อื่นและกลายเป็นเชื้อโรคได้ (เช่นการหยุดชะงักของจุลินทรีย์ในลำไส้อาจทำให้เกิดการติดเชื้อClostridium difficile )
  • ขั้นตอนทางการแพทย์
  • การตั้งครรภ์
  • ความชรา
  • เม็ดเลือดขาว (เช่นneutropeniaและlymphocytopenia )
  • ไหม้

อาการติดเชื้อโรคฉวยโอกาส

  • ปอดอักเสบ   ไข้ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ไอ หายใจลำบาก เหงื่อออกตอนกลางคืน
  • สมองอักเสบ   ไม่ค่อยรู้สึกตัว สับสน เป็นอัมพาตบริใวณใบหน้า ชัก ปวดหัวอย่างรุนแรง ไข้
  • กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ   ท้องเสีย ปวดเกร็งในท้อง คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ท้องอืด น้ำหนักลด เบื่ออาหาร ท้องผูก แห้งน้ำ
  • วัณโรค   ไอ น้ำหนักลด เหงื่อออกตอนกลางคืน อ่อนเพลีย ไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต อาจแพร่ไปยังส่วนอื่น ๆ เช่น ระบบประสาทกลาง ทางเดินอาหาร กระดูก เป็นต้น
  • การติดเชื้อแพร่กระจาย   ไข้ เหงื่อออกตอนกลางคืน อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ท้องเสีย  ซีด ปวดท้อง ไม่มีแรง มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน ต่อมน้ำเหลืองโ ตับโต
  • เยื่อหุ้มสมองอักเสบ   ม้ามโต ปวดศรีษะ คอแข็ง ครั่นเนื้อครั่นตัว ไข้ คลื่นไส้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ไม่ค่อยรู้สึกตัว
  • การติดเชื้อยีสต์ในปาก   มีฝ้าขาวในปาก เหงือก ลิ้น และกระพุ่งแก้ม เบื่ออาหาร
  • การติดเชื้อยีสต์ในช่องคลอด   แสบ คันในช่องคลอด ตกขาว
  • Histoplasmosis   ไข้ น้ำหนักลด มีรอยโรคบนผิวหนัง หายใจลำบาก ซีด ต่อมน้ำเหลืองโต
  • จอประสาทตาอักเสบจากเชื้อ CMV   มองไม่เห็น เห็นอะไรลอยไปลอยมาโดยไม่มีวัตถุจริง เห็นแสงแวบ
  • ลำไส้อักเสบ   ท้องเสีย น้ำหนักลด ปวดท้อง
  • เริม   ตุ่มน้ำพองใสบนผิวหนัง ปวดแสบปวดร้อน มีแผล คันบริเวณริมฝีปาก ทวารหนัก อวัยวะเพศ
  • อีสุกอีใส และงูสวัด   คัน ปวดแสบปวดร้อน ตุ่มน้ำพองใสบนผิวหนังเป็นกลุ่มๆ ไข้ ปวดกล้ามเนื้อ ครั่นเนื้อครั่นตัว ผื่นผิวหนัง
  • Kaposi’s sarcoma   รอยโรคบนผิวหนังสีม่วง บริเวณใบหน้า อวัยวะเพศ แขนขา ในปาก หรืออวัยวะภายใน
  • หูดบริเวณอวัยวะเพศ   หูดบริเวณอวัยวะเพศ หรือ ทวารหนัก
  • เนื้องอกบริเวณอวัยวะเพศ   มะเร็งปากมดลูก หรือ ทวารหนัก
  • Oral “hairy” leukoplakia   รอยโรคสีขาวบริเวณข้างลิ้น หรือกระพุ้งแก้ม ไม่เจ็บ
  • เนื้องอกในระบบประสาท   สับสน ทำอะไรช้าลง พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง ชัก

การรักษา และยาป้องกันโรคติดเชื้อโรคฉวยโอกาส

การรักษาขึ้นอยู่กับชนิดของโรคติดเชื้อฉวยโอกาส บุคคลที่มีความเสี่ยงสูงจะติดเชื้อ มักจะได้รับยาป้องกันโรค เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ดูจากระดับความเสี่ยงของผู้ป่วยในการติดเชื้อฉวยโอกาส โดยใช้จำนวนทีเซลล์ CD4 ของผู้ป่วย ในการรักษาดังนี้: 

การติดเชื้อ                                             ควรให้ยาป้องกันโรคเมื่อใด

  • Pneumocystis jirovecii CD4 <200 เซลล์ / mm3 หรือCandidasis oropharyngeal
  • Toxoplasma gondii CD4 <100 เซลล์ / ลบ.ม. และเป็นบวก Toxoplasma gondii 
  •                                                    IgG immunoassay
  • Mycobacterium avium คอมเพล็กซ์ CD4 <50
รักษาด้วยยาต้านไวรัส

การป้องกันโรคติดเชื้อโรคฉวยโอกาส

การติดเชื้อฉวยโอกาสอาจทำให้เกิดโรครุนแรง จึงให้ความสำคัญกับมาตรการป้องกันการติดเชื้อเป็นอย่างมาก กลยุทธ์ดังกล่าวมักจะรวมถึงการฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันโดยเร็วที่สุดหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารติดเชื้อและการใช้ยาต้านจุลชีพ หรือ ยาป้องกันโรค เพื่อต่อต้านการติดเชื้อเฉพาะโรค

ฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน

  • ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี การเริ่มการรักษาด้วยยาต้านไวรัสมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน และลดอัตราการติดเชื้อฉวยโอกาส
  • ในผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัดการเสร็จสิ้น และการฟื้นตัวจากการรักษาเป็นวิธีหลักในการฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน ในกลุ่มย่อยที่เลือกของผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงสามารถใช้ปัจจัยกระตุ้นของอาณานิคม granulocyte (G-CSF)เพื่อช่วยในการฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน

หลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อ

  • การรับประทานเนื้อสัตว์ หรือไข่ ที่ไม่ผ่านการปรุงสุก ผลิตภัณฑ์นม หรือน้ำผลไม้ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ
  • แหล่งที่เป็นไปได้ของวัณโรค (สถานพยาบาลที่มีความเสี่ยงสูง และ ผู้ป่วยที่เป็นวัณโรค)
  • การสัมผัสอุจจาระทางปาก
  • การสัมผัสกับสัตว์เลี้ยงในฟาร์มโดยเฉพาะผู้ที่มีอาการท้องร่วง: แหล่งที่มาของToxoplasma gondii , Cryptosporidium parvum
  • อุจจาระแมว แหล่งที่มาของToxoplasma gondii , Bartonella spp .
  • ดิน / ฝุ่นในพื้นที่ที่มีเป็นที่รู้จักกัน histoplasmosis , coccidiomycosis
  • สัตว์เลื้อยคลานนก และเป็ดที่มีเป็นแหล่งทั่วไปของเชื้อ Salmonella
  • การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกันที่มีบุคคลที่มีที่รู้จักกันการติดเชื้อติดต่อทางเพศสัมพันธ์

อ่านบทความอื่นๆ

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ :

  • การติดเชื้อตามโอกาส https://hmong.in.th/wiki/Opportunistic_infection
  • การติดเชื้อโรคฉวยโอกาส https://ym2m.lovecarestation.com/การติดเชื้อโรคฉวยโอกาส/

Similar Posts

  • CD4 สำคัญอย่างไรกับผู้ติดเชื้อ HIV?

    HIV เป็นเชื้อไวรัสที่จะทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค และเชื้อไวรัสต่าง ๆ เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาว ถูกทำลายจนอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะถูกเชื้อไวรัสเอชไอวีโจมตีจนไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้และก่อให้พัฒนาจนกลายเป็นโรคเอดส์ (AIDS) เต็มขั้น การตรวจวัดจำนวน CD3/CD4/CD8 ในกระแสเลือด ซึ่งเป็น CD ที่มีความจำเพาะกับเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันชนิดที่ต้องมีการกระตุ้น ( Adaptive Immune Response ) คือ กลุ่มเม็ดเลือดขาว ชนิดที่สร้างแอนติบอดี ( B cells ) หรือ กลุ่มเม็ดเลือดขาวที่เป็นหน่วยความจำ ( T cells ) และมีความสำคัญต่อการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย CD4 คืออะไร? CD4 cells ย่อมาจากคำว่า Cluster of Differentiation 4 บางครั้งถูกเรียกว่า T-cells หรือ T-helper cells  CD4 คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ที่มีหน้าที่ควบคุม และต่อสู้กับเชื้อโรค…

  • | | | | |

    Undetectable แล้วไม่ป้องกันได้ไหม ปลอดภัยจริงไหม?

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิด หรือ “U=U” ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแพทย์และสาธารณสุข โดยคำว่า “Undetectable” หมายถึงการที่ปริมาณไวรัส HIV ในเลือดของผู้ติดเชื้อลดต่ำจนไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยการทดสอบมาตรฐาน ซึ่งเกิดจากการที่ผู้ติดเชื้อได้รับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัส (ART) อย่างสม่ำเสมอ แนวคิด U=U เป็นที่ยอมรับทางวิทยาศาสตร์ว่า ผู้ที่มีปริมาณไวรัส HIV ต่ำจนตรวจไม่พบ ไม่สามารถแพร่เชื้อให้คู่นอนผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้ อย่างไรก็ตาม คำถามที่หลายคนยังคงสงสัยคือ ถ้าไวรัสตรวจไม่พบแล้ว สามารถมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยได้ไหม และมันปลอดภัยจริงหรือ?

  • | | |

     ยาต้านไวรัสเอชไอวี

    เอชไอวี คือ เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่จำเป็นต้องป่วยเป็นโรคเอดส์เสมอไป หากมีการติดเชื้อเอชไอวีแล้วนั้นเชื้อจะอยู่ในร่างกายผู้ติดเชื้อตลอดไป  ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาการติดเชื้อเอชไอวีให้หายขาดได้ แต่มียาต้านไวรัสเอชไอวี ซึ่งถ้าผู้ติดเชื้อเอชไอวีกินยาได้เร็ว กินยาอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ สามารถทำให้ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพที่แข็งแรงเป็นระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อเอชไอวีนี้ไปยังผู้อื่นได้ด้วย ซึ่งจะใช้ช่วงก่อนหรือหลังจากการสัมผัสเชื้อ HIV สำหรับยาที่รับประทานเพื่อลดความเสี่ยงก่อนการติดเชื้อนั้น เรียกว่ายา PrEP ซึ่งย่อมาจาก Pre-Exposure Prophylaxis (ยาต้านก่อนเสี่ยง) และยาที่รับประทานเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังจากสัมผัสเชื้อนั้น เรียกว่ายา PEP โดยย่อมาจาก Post -Exposure Prophylaxis (ยาต้านฉุกเฉิน) ยาต้านหรือยารักษา HIV มีกี่แบบ ปัจจุบันยาต้าน ยารักษา HIV หรือที่เรียกว่ายา Antiretroviral (ARV) นั้นที่ใช้กันนั้น ดังนี้ ในประเทศไทย ยาเพร็พมีให้บริการอย่างแพร่หลาย และประชาชนสามารถเข้าถึงได้ผ่านผู้ให้บริการด้านสุขภาพ คลินิก และองค์กรต่าง ๆ ดังนี้: ยาต้านไวรัส HIV ราคาเท่าไหร่ ยาต้านไวรัส HIV ต้องทานตอนไหน และการปฏิบัติตัวหลังทานยาต้าน…

  • | | |

    ทำความเข้าใจก่อนใช้ยาเพร็พ และยาเป๊ป

    สิ่งสำคัญของยาต้านไวรัสเอชไอวีคือ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี ทั้งก่อนและหลังการสัมผัสเชื้อ หากพูดถึงวิธีป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี คนส่วนใหญ่จะนึกถึงการสวมถุงยางอนามัย ซึ่งเป็นวิธีป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อที่ปลอดภัย และลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากใช้ร่วมกับยาต้านไวรัสเอชไอวี ก็อาจช่วยลดความเสี่ยงได้มากขึ้น แต่ต้องใช้อย่างถูกต้อง ซึ่งโดยคนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยาต้านเอชไอวี PrEP และPEP  ว่าทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีอย่างไร เราจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี PrEP & PEP ทำงานอย่างไร? กลไกของยา PrEP จะไปสะสมอยู่ในเม็ดเลือดขาวในเลือดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งอวัยวะที่เป็นช่องทางเข้าของเชื้อเอชไอวี เช่น ช่องคลอด ปากมดลูก ปากทวารหนัก เยื่อบุอวัยวะสืบพันธุ์ชาย ฯลฯ เมื่อเชื้อเอชไอวี เข้าไปในร่างกายในช่องทางดังกล่าว เชื้อก็จะถูกยาที่สะสมอยู่ก่อนหน้านั้นยับยั้งไม่ให้แบ่งตัว จึงสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ได้ แต่ก่อนจะเริ่มกินยา PrEP ต้องมีการตรวจเลือดให้แน่ใจก่อนว่าไม่ได้ติดเชื้อมาก่อน หรือมีผลเลือดเป็นลบ และต้องตรวรค่าการทำงานของไต ซึ่งไม่จำเป็นต้องกินยาตลอดชีวิต แต่กินยาเฉพาะช่วงที่คิดว่าจะตัวเองจะมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อ PEP ยาต้านไวรัสไอวีที่ช่วยลดโอกาสในการสร้างไวรัสเอชไอวีในร่างกายหลังจากที่ร่างกายได้รับการสัมผัสเชื้อ ซึ่งมาจากหลายรูปแบบ อาทิ การมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ป้องกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรืออุบัติเหตุจากการโดนเข็มฉีดยาตำ เป็นต้น PrEP &…

  • |

    วิธีการรักษาผื่นที่เกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี

    ผื่นที่ผิวหนัง เป็นอาการทั่วไปเมื่อเกิดการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ขึ้น อาการมักจะเป็นสัญญาณเริ่มแรก และมักจะเกิดขึ้นในช่วง 2 – 3 สัปดาห์หลังได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างก่าย ซึ่งอาการผื่นอาจไม่ได้เป็นเกิดจากการติดเชื้อเท่านั้น แต่ยังเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้จากยาที่ใช้รักษาการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ได้ด้วย ผื่นที่เกิดจากเชื้อเอชไอวี อาจจะเรียกว่า ผื่นเอชไอวี หรือเอดส์เฉียบพลัน  เป็นผื่นเอชไอชวีเฉียบพลันมักจะเกิดขึ้นในช่วงแรกของการติดเชื้อ ผื่นจะปรากฏในส่วนเดียว หรือหลายส่วนของร่างกาย และอาจทำให้เกิดอาการคันที่ผืนด้วย  ผื่นที่เกิดจากเชื้อเอชไอวี มักจะเป็นจุดด่างดวงบนผิวหนัง ถ้าเป็นคนผิวขาวก็จะเป็นจุดสีแดง แต่ถ้าเป็นคนผิวสีเข้มก็จะเป็นสีดำอมม่วง โดยความรุนแรงของผื่นจะไม่เท่ากันในแต่ละคน บางคนก็อาจจะมีผื่นขึ้นรุนแรงมากเป็นบริเวณกว้าง ในขณะที่บางคนก็อาจจะมีผื่นขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น แต่ถ้าผื่นที่เกิดจากเชื้อเอชไอวี เป็นผลมาจากยาต้านไวรัส ผื่นจะเป็นรอยแผลแดงบวมไปทั่วร่างกาย ผื่นแบบนี้เรียกว่า ผื่นแพ้ยา สังเกตว่าผื่นขึ้นตรงไหล่ หน้าอก ใบหน้า ท่อนบนของร่างกาย และมือหรือไม่ ผื่นเอชไอวีจะมีอาการเจ็บ และคัน ในช่วงเวลาที่ ผื่นปรากฏและจะมาพร้อมกับอาการอื่น ๆ ซึ่งถือว่าเป็นอาการเริ่มแรกของการติดเชื้อเอชไอวี อาการเหล่านี้ สาเหตุของผื่นจากเชื้อเอชไอวี ผื่นเกิดจากการที่เซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกายลดลง จะเกิดขึ้นในระยะไหนของการติดเชื้อก็ได้ แต่โดยทั่วไปแล้ว มีผื่นจะเกิดขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์หลังจากที่คุณได้รับเชื้อ เป็นระยะที่เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงในตัวอย่างเลือด ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเราสามารถตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีได้จากการตรวจเลือด แต่บางคนก็อาจจะไม่ผ่านขั้นตอนนี้ แต่จะมีผื่นขึ้นหลังจากติดเชื้อไวรัสไปถึงระยะอื่นแล้วก็ได้…

  • |

    แผลริมอ่อน (Chancroid) 

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ กลุ่มโรคที่เกิดจากการติดต่อผ่านทางเพศกับคนที่เป็นโรค หรือคนที่ติดเชื้อ ทั้งจากการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก และสามารถติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ ผ่านการถ่ายโอนเลือด หรือการใช้เข็มร่วมกันได้เหมือนกัน  โรคแผลริมอ่อน (Chancroid)  คืออะไร แผลริมอ่อน หรือ ซิฟิลิสเทียม (Chancroid, Soft chancre, Ulcus molle หรือ Weicher Schanker)  เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus Ducreyi  เกิดขึ้นได้ทั้งในเพศชาย และเพศหญิง จะทำให้เกิดแผลที่อวัยวะเพศ และต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตติดกันเป็นพืดและเจ็บ ซึ่งโรคนี้ติดต่อได้ง่าย แต่ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์สั่ง หากไม่รักษาจะเป็นสาเหตให้เกิดการติดเชื้อ HIV ได้ง่าย  สาเหตุของแผลริมอ่อน เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ฮีโมฟิลุส ดูเครย์ (Haemophilus ducreyi) โดยเชื้อชนิดนี้จำนวนมากจะอยู่ที่หนอง และจะเข้าสู่ร่างกายผ่านรอยถลอกทางผิวหนัง จากนั้นเชื้อจะสร้างสารพิษ (HdCDT) ขึ้นมาทำให้เกิดแผลบริเวณอวัยวะเพศ และมีหนองไหล ทำให้หากสัมผัสโดนของเหลวจากแผลโดยตรง ซึ่งอาจเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง เช่น ทางผิวหนังที่เกิดบาดแผลหรือมือที่มีเชื้อไปสัมผัสโดนดวงตา รวมถึงการสัมผัสถูกเชื้อในขณะมีเพศสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ทั้งการร่วมเพศทางปาก ทางทวารหนัก…