ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน หาซื้อได้ที่ไหน คลินิก โรงพยาบาล และบริการใกล้คุณ

ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน หาซื้อได้ที่ไหน? คลินิก โรงพยาบาล และบริการใกล้คุณ

การป้องกันเอชไอวีถือเป็นหัวใจสำคัญของสุขภาพทางเพศในยุคปัจจุบัน แต่ในบางครั้งสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดก็สามารถเกิดขึ้นได้ เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย ถุงยางฉีกขาดหรือหลุดโดยไม่ทันรู้ตัว การถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือแม้แต่การสัมผัสกับเลือดและเข็มฉีดยาที่อาจปนเปื้อนเชื้อเอชไอวี สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างความกังวลใจให้กับผู้ที่เผชิญเหตุการณ์ทันที คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นว่า “จะทำอย่างไรเพื่อลดความเสี่ยง?” คำตอบที่วงการแพทย์ยืนยันชัดเจนคือการใช้ ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน (Post-Exposure Prophylaxis หรือ PEP) บทความนี้จะเจาะลึกข้อมูลที่คุณควรรู้เกี่ยวกับยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน ตั้งแต่หลักการทำงาน เหตุผลที่ไม่สามารถซื้อได้ทั่วไป สถานที่ที่สามารถเข้ารับยา ขั้นตอนการเข้ารับบริการ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าหากเผชิญกับความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด จะสามารถปกป้องตัวเองได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องตามหลักการแพทย์

ความสำคัญของยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน

Love2test”></a></div>
<p>ยาต้านเอดส์ ฉุกเฉิน หรือที่เรียกกันว่า <strong><a href=PEP (Post-Exposure Prophylaxis) เป็นยาที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังจากที่บุคคลหนึ่งได้รับความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน การใช้ถุงยางอนามัยที่แตกหรือหลุด การถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือแม้กระทั่งการสัมผัสกับเลือดหรือของมีคมที่ปนเปื้อนเชื้อ ยาชนิดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในสถานการณ์เร่งด่วนที่ไม่สามารถรอได้ เพราะเวลาคือปัจจัยสำคัญที่สุดในการป้องกันเชื้อเอชไอวีไม่ให้เข้าสู่ร่างกายและแพร่กระจาย

ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน คืออะไร ทำงานอย่างไร ?

ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน คืออะไร ทำงานอย่างไร

ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน หรือ PEP คือ การใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีแบบรวมสูตร (antiretroviral therapy: ART) ในช่วงเวลาหลังการสัมผัสความเสี่ยง จุดประสงค์หลักคือเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่เซลล์ของร่างกายและเริ่มกระบวนการเพิ่มจำนวน หากได้รับภายใน 72 ชั่วโมงหลังสัมผัสความเสี่ยง โอกาสในการป้องกันเชื้อจะสูงมาก โดยเฉพาะหากเริ่มยาภายใน 2–24 ชั่วโมงแรก ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งได้ผลดียิ่งขึ้น ยาจะต้องรับประทานต่อเนื่องอย่างน้อย 28 วัน ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด การหยุดยาเองหรือการรับประทานไม่ครบคอร์สอาจทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันลดลง และยังอาจนำไปสู่การดื้อยาในอนาคตได้

ยาต้านเอดส์ฉุกเฉินไม่สามารถหาซื้อทั่วไปได้

ข้อควรรู้ที่สำคัญที่สุดคือ ยาต้านเอดส์ฉุกเฉินไม่สามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายยาทั่วไป หรือผ่านทางแพลตฟอร์มออนไลน์ ยาจะต้องได้รับการจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น เพราะเป็นยาที่ต้องมีขั้นตอนการดูแลผู้ป่วยที่เข้มงวด ตั้งแต่การตรวจเลือด การซักประวัติสุขภาพ ไปจนถึงการนัดติดตามผล หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าหากหาซื้อยามารับประทานเองก็สามารถป้องกันเชื้อได้ แต่ความจริงแล้วการใช้ยาโดยไม่มีการตรวจประเมิน อาจก่อให้เกิดอันตราย ทั้งผลข้างเคียงที่รุนแรง การดื้อยา หรือการใช้ยาไม่ครบตามหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง ดังนั้น การเข้ารับบริการจากแพทย์หรือสถานพยาบาลจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและถูกต้องที่สุด

“Quicky"

ขั้นตอนการเข้ารับ ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน

การเข้ารับบริการยาต้านเอดส์ฉุกเฉินมีขั้นตอนที่ชัดเจน เริ่มตั้งแต่การประเมินความเสี่ยงโดยแพทย์ หากมีความเสี่ยงสูง แพทย์จะพิจารณาให้เริ่มยาทันทีภายใน 72 ชั่วโมง พร้อมตรวจเลือดหาเอชไอวีและการติดเชื้ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง หลังจากนั้นผู้เข้ารับบริการต้องรับประทานยาต่อเนื่อง 28 วัน และกลับมาติดตามผลตามนัดหมาย เพื่อประเมินการตอบสนองของร่างกาย รวมถึงตรวจเลือดซ้ำเพื่อยืนยันผลการป้องกันเชื้อในช่วง 1 – 3 เดือนถัดมา

โรงพยาบาลรัฐกับบริการยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน

โรงพยาบาลของรัฐถือเป็นสถานที่หลักในการให้บริการยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน (ER) ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ที่ได้รับความเสี่ยงสามารถไปที่แผนกฉุกเฉินเพื่อเข้ารับการประเมินและขอรับยาได้ทันที ข้อดีของโรงพยาบาลรัฐคือมีค่าใช้จ่ายที่ครอบคลุมสิทธิการรักษาของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิบัตรทอง (บัตร 30 บาท), สิทธิประกันสังคม หรือสิทธิข้าราชการ ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาต้านเอดส์ฉุกเฉินได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายมากนัก

“ChatLove2test"

คลินิกเอกชนและการเข้าถึงที่รวดเร็ว

สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ความรวดเร็ว และความสะดวกในการเข้ารับบริการ คลินิกเอกชนก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญ ปัจจุบันมีคลินิกหลายแห่งที่ให้บริการด้านสุขภาพทางเพศและเอชไอวีโดยเฉพาะ พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและระบบการนัดหมายที่ง่ายดาย แม้ว่าค่าใช้จ่ายอาจสูงกว่า แต่ผู้ป่วยจะได้รับบริการที่รวดเร็ว ไม่ต้องรอนาน และมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า จึงตอบโจทย์ผู้ที่ให้ความสำคัญกับความสะดวกและความลับส่วนบุคคล

บริการจากองค์กรพัฒนาเอกชนและคลินิกเฉพาะทาง

ในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต มีองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) และคลินิกเฉพาะทางที่ทำงานด้านเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งเปิดให้บริการตรวจเลือด ให้คำปรึกษา และจ่ายยาต้านเอดส์ฉุกเฉินในกรณีที่มีความเสี่ยงสูง การเข้ารับบริการจากองค์กรเหล่านี้ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงยาได้รวดเร็ว และยังได้รับคำปรึกษาที่ถูกต้อง ครอบคลุมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

“PrEPLove2test"

การติดตามผลหลังรับ ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน

การใช้ยาต้านเอดส์ฉุกเฉินไม่ใช่เพียงการรับประทานยาแล้วจบ แต่จำเป็นต้องมีการติดตามผลตามนัดหมายของแพทย์ ซึ่งรวมถึงการตรวจเลือดเพื่อยืนยันผลการป้องกัน และการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ที่อาจได้รับร่วมกัน เช่น ซิฟิลิส หนองใน หรือไวรัสตับอักเสบ การติดตามผลเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพราะจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าผู้เข้ารับบริการปลอดภัย ไม่ติดเชื้อ และสามารถวางแผนการดูแลสุขภาพทางเพศในระยะยาวได้อย่างเหมาะสม

ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน รับได้ที่ไหน ?

ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน รับได้ที่ไหน

การเข้าถึงยาต้านเอดส์ฉุกเฉินสามารถทำได้จากหลายช่องทาง ขึ้นอยู่กับพื้นที่และสถานะทางสิทธิการรักษาของผู้เข้ารับบริการ โดยทั่วไปสถานที่ที่สามารถให้บริการ ได้แก่ โรงพยาบาล คลินิกเฉพาะทาง คลินิกโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI Clinic) รวมถึงศูนย์บริการสุขภาพของรัฐและเอกชนที่มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเอชไอวี นอกจากนี้ ในบางพื้นที่ยังมีคลินิกเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านสุขภาพทางเพศซึ่งเปิดให้บริการด้านการให้คำปรึกษาและจ่ายยาต้านเอดส์ฉุกเฉินโดยตรง

สำหรับผู้ที่อยู่ในภาวะเร่งด่วน หนึ่งในตัวช่วยสำคัญในการเข้าถึงยาต้านเอดส์ฉุกเฉินอย่างทันท่วงที คือ Love2test แพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งสามารถค้นหาคลินิกใกล้ตัวได้ ดูข้อมูลบริการที่แต่ละคลินิกมีให้ เช่น การตรวจเอชไอวีฟรี บริการ PrEP และ PEP รวมถึงเวลาเปิดทำการและช่องทางการติดต่อที่ชัดเจน นอกจากนี้ Love2test ยังมีระบบจองคิวออนไลน์ที่ช่วยให้การเข้ารับบริการสะดวกขึ้น ลดเวลารอคอย และมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลทันเวลา

ทำไมไม่ควรหาซื้อยาต้านเอดส์ฉุกเฉินเอง

การพยายามหาซื้อยาต้านเอดส์ฉุกเฉินด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นจากร้านขายยาที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือการสั่งซื้อทางออนไลน์ ถือเป็นความเสี่ยงที่อันตรายอย่างมาก เพราะนอกจากจะไม่สามารถยืนยันได้ว่ายาที่ได้รับเป็นยาจริงหรือไม่ ยังอาจทำให้ได้รับยาที่ไม่มีคุณภาพ หมดอายุ หรือใช้ผิดวิธี ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ยาที่ไม่ผ่านการตรวจสอบของแพทย์อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงต่อร่างกาย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ตับอักเสบ หรือการดื้อยาที่ส่งผลเสียในระยะยาว ดังนั้นผู้ที่ได้รับความเสี่ยงจึงควรเข้ารับบริการอย่างถูกต้องทุกครั้ง

อ่านบทความที่น่าสนใจ

ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน หรือ PEP คือโอกาสสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังจากได้รับความเสี่ยง แต่จะได้ผลดีต่อเมื่อใช้ในเวลาที่เหมาะสม คือภายใน 72 ชั่วโมง ที่สำคัญยาชนิดนี้ไม่สามารถซื้อได้เองจากร้านขายยาหรือออนไลน์ แต่ต้องได้รับการจ่ายโดยแพทย์และสถานพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญ

แหล่งที่มา (References)

  • UNAIDS. (2025). Global HIV & AIDS statistics — Fact sheet. Retrieved from https://www.unaids.org
  • World Health Organization. (2023). Post-exposure prophylaxis (PEP). Retrieved from https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hiv-post-exposure-prophylaxis-(pep)
  • Centers for Disease Control and Prevention. (2023). PEP | HIV Basics. Retrieved from https://www.cdc.gov/hiv/basics/pep.html
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2567). แนวทางการให้บริการยาต้านไวรัสเพื่อการป้องกันก่อนและหลังการสัมผัสเชื้อเอชไอวี (PrEP และ PEP). สืบค้นจาก https://ddc.moph.go.th

Similar Posts

  • | | |

    ทำความเข้าใจก่อนใช้ยาเพร็พ และยาเป๊ป

    สิ่งสำคัญของยาต้านไวรัสเอชไอวีคือ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี ทั้งก่อนและหลังการสัมผัสเชื้อ หากพูดถึงวิธีป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี คนส่วนใหญ่จะนึกถึงการสวมถุงยางอนามัย ซึ่งเป็นวิธีป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อที่ปลอดภัย และลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ PrEP & PEP ทำงานอย่างไร? กลไกของยา PrEP จะไปสะสมอยู่ในเม็ดเลือดขาวในเลือดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งอวัยวะที่เป็นช่องทางเข้าของเชื้อเอชไอวี เช่น ช่องคลอด ปากมดลูก ปากทวารหนัก เยื่อบุอวัยวะสืบพันธุ์ชาย ฯลฯ เมื่อเชื้อเอชไอวี เข้าไปในร่างกายในช่องทางดังกล่าว เชื้อก็จะถูกยาที่สะสมอยู่ก่อนหน้านั้นยับยั้งไม่ให้แบ่งตัว จึงสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ได้ แต่ก่อนจะเริ่มกินยา PrEP ต้องมีการตรวจเลือดให้แน่ใจก่อนว่าไม่ได้ติดเชื้อมาก่อน หรือมีผลเลือดเป็นลบ และต้องตรวรค่าการทำงานของไต ซึ่งไม่จำเป็นต้องกินยาตลอดชีวิต แต่กินยาเฉพาะช่วงที่คิดว่าจะตัวเองจะมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อ PEP ยาต้านไวรัสไอวีที่ช่วยลดโอกาสในการสร้างไวรัสเอชไอวีในร่างกายหลังจากที่ร่างกายได้รับการสัมผัสเชื้อ ซึ่งมาจากหลายรูปแบบ อาทิ การมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ป้องกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรืออุบัติเหตุจากการโดนเข็มฉีดยาตำ เป็นต้น PrEP & PEP เหมาะกับใคร ใครบ้างที่ควรได้รับยา PrEP เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีสูง  PEP เหมาะสำหรับผู้ที่คาดว่ามีการสัมผัสเชื้อเอชไอวี มาภายในระยะเวลาไม่เกิน 72…

  • | | | |

    Untransmittable ความสำคัญที่เปลี่ยนแปลงชีวิตและสังคม

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “Untransmittable” ที่มาพร้อมแนวคิด “ตรวจไม่เจอ = ไม่แพร่เชื้อ” (U=U) ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแพทย์และสังคมทั่วโลก แนวคิดนี้ไม่เพียงแค่ช่วยปรับปรุงชีวิตของผู้ติดเชื้อ HIV แต่ยังเปลี่ยนแปลงทัศนคติและการยอมรับในสังคมต่อผู้ที่มีเชื้อ HIV ด้วย

  • | | |

    การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์กับแนวทางการรักษาในปัจจุบัน

    เชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus) คือ ไวรัสที่จะเข้าไปกัดกินทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง การติดเชื้อเอชไอวีแบ่งเป็น 4 ระยะ คือ 1) ระยะติดเชื้อเฉียบพลัน คือ ระยะที่รับเชื้อมาใหม่ๆ หรือช่วงระหว่าง 2-4 สัปดาห์ หลังจากติดเชื้อมา โดยผู้ติดเชื้อบางส่วนจะมีอาการคล้ายไข้หวัด มีอาการ มีไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดเมื่อยตามร่างกาย มีผื่น และปวดหัว อาการเหล่านี้เรียกว่า acute retroviral syndrome หรือ ARS เป็นอาการที่ร่างกายตอบสนองต่อการติดเชื้อเอชไอวี 2) ระยะไม่ปรากฏอาการ คือ เป็นระยะที่ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ จึงทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อให้กับบุคคลอื่นได้ง่ายโดยการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน เนื่องจากไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อ  อาจอยู่ในระยะนี้นานถึง 10 ปี แนวทางการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีในปัจจุบัน คือ การรักษาด้วยยาต้านเอชไอวีเท่านั้น เพราะช่วยในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อเอชไอวีในกระแสเลือด เมื่อจำนวนเชื้อลดลง  ร่างกายก็สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น   โอกาสในการเจ็บป่วยด้วยโรคฉวยโอกาสจึงลดลง เพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยส่วนมากสามารถทำงานและดำรงชีวิตตามปกติได้  และการเสียชีวิตจากโรคฉวยโอกาสก็เป็นไปได้น้อย จึงเป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลดีที่สุด…

  • | |

    PEP ยาเป็ปกับสิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มทาน

    ในด้านของสุขภาพ ความรู้ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียว แต่มักเป็นสิ่งที่เราจะสามารถป้องกันความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ในโลกนี้มีสิ่งที่สำคัญแต่มักถูกมองข้ามไปเช่น PEP คือสิ่งที่มาพร้อมกับการป้องกันในปัญหาสุขภาพระดับโลกที่สำคัญนั่นคือเอชไอวี เป็ป ยังคงเป็นสิ่งที่จะสามารถต่อสู้กับเอชไอวีได้โดยให้การช่วยเหลือสำหรับบุคคลที่อาจได้รับการสัมผัสกับเชื้อไวรัส เป็ป เป็นวิธีการดูแลสุขภาพในช่วงเวลาหลังจากสัมผัสเชื้อเอชไอวีหรือหลังเกิดความเสี่ยง

  • |

    โรคเอดส์ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ป้องกันได้ รักษาได้

    “โรคเอดส์” หรือ AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นคำที่หลายคนเคยได้ยินมาตั้งแต่อดีต และในบางครั้งยังถูกใช้อย่างคลาดเคลื่อน จนเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคนที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ซึ่งเป็นไวรัสต้นเหตุของโรคเอดส์อย่างแท้จริง บางคนเข้าใจว่า HIV และเอดส์คือสิ่งเดียวกัน หรือเข้าใจว่าเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาได้และต้องเสียชีวิตในเวลาอันสั้น แต่ในความเป็นจริง ปัจจุบันความรู้ทางการแพทย์ได้พัฒนาไปไกลมาก บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจโรคเอดส์ อย่างถูกต้อง แยกให้ออกระหว่างการติดเชื้อ HIV กับการเป็นเอดส์ พร้อมทั้งพูดถึงวิธีการป้องกัน การรักษา และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพของผู้ที่ติดเชื้อ HIV ในปัจจุบัน HIV และเอดส์ ต่างกันอย่างไร ? อาการเหล่านี้มักไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน และมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล การตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัย HIV จึงเป็นวิธีที่แน่นอนที่สุด การวินิจฉัยและตรวจหา HIV การตรวจ HIV ในปัจจุบันสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว ทั้งในโรงพยาบาล คลินิกเวชกรรม หรือคลินิกชุมชนที่ให้บริการโดยไม่เปิดเผยชื่อ นอกจากนี้ยังมีชุดตรวจ HIV ด้วยตนเองที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาที่ได้รับอนุญาต การตรวจควรทำภายหลังมีพฤติกรรมเสี่ยงอย่างน้อย 2 – 4 สัปดาห์ และอาจต้องตรวจซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์ หากพบว่าติดเชื้อ…

  • | | | | |

    Undetectable แล้วไม่ป้องกันได้ไหม ปลอดภัยจริงไหม?

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิด หรือ “U=U” ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแพทย์และสาธารณสุข โดยคำว่า “Undetectable” หมายถึงการที่ปริมาณไวรัส HIV ในเลือดของผู้ติดเชื้อลดต่ำจนไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยการทดสอบมาตรฐาน ซึ่งเกิดจากการที่ผู้ติดเชื้อได้รับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัส (ART) อย่างสม่ำเสมอ แนวคิด U=U เป็นที่ยอมรับทางวิทยาศาสตร์ว่า ผู้ที่มีปริมาณไวรัส HIV ต่ำจนตรวจไม่พบ ไม่สามารถแพร่เชื้อให้คู่นอนผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้ อย่างไรก็ตาม คำถามที่หลายคนยังคงสงสัยคือ ถ้าไวรัสตรวจไม่พบแล้ว สามารถมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยได้ไหม และมันปลอดภัยจริงหรือ?