Untransmittable
| | | |

Untransmittable ความสำคัญที่เปลี่ยนแปลงชีวิตและสังคม

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “Untransmittable” ที่มาพร้อมแนวคิด “ตรวจไม่เจอ = ไม่แพร่เชื้อ” (U=U) ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแพทย์และสังคมทั่วโลก แนวคิดนี้ไม่เพียงแค่ช่วยปรับปรุงชีวิตของผู้ติดเชื้อ HIV แต่ยังเปลี่ยนแปลงทัศนคติและการยอมรับในสังคมต่อผู้ที่มีเชื้อ HIV ด้วย

U=U มีความหมายว่า ผู้ที่ติดเชื้อ HIV ที่รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) อย่างต่อเนื่อง และสามารถลดปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดจนไม่สามารถตรวจพบได้ จะไม่สามารถแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นผ่านทางเพศสัมพันธ์ได้ ความสำเร็จนี้ได้รับการพิสูจน์จากงานวิจัยและการศึกษามากมายที่สนับสนุนแนวคิดนี้

Love2test”></a></div>




<h2 class=ความสำคัญทางการแพทย์ของ “Untransmittable”

Untransmittable คือแนวคิดที่ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานทางการแพทย์ที่ชัดเจน โดยเฉพาะจากการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ติดเชื้อ HIV สามารถลดปริมาณไวรัสในร่างกายจนไม่สามารถตรวจพบได้ เมื่อพวกเขารับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง ปริมาณไวรัสในเลือดที่ต่ำมาก ๆ ทำให้ไม่สามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ โดยเฉพาะผ่านทางเพศสัมพันธ์

ความสำคัญของ U=U ในด้านการแพทย์มีอยู่ 3 ประเด็นหลัก ดังนี้:

  1. การป้องกันการแพร่เชื้อ HIV: แนวคิด U=U ช่วยลดโอกาสในการแพร่เชื้อไปยังคู่นอนหรือบุคคลอื่น ซึ่งทำให้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ HIV ควบคู่กับวิธีการป้องกันอื่น ๆ เช่น การใช้ถุงยางอนามัยหรือการรับประทานยา PrEP (Pre-exposure prophylaxis)
  2. การดูแลสุขภาพของผู้ติดเชื้อ: ผู้ติดเชื้อ HIV ที่เข้ารับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องจะมีสุขภาพที่ดีและสามารถควบคุมปริมาณไวรัสในเลือดให้อยู่ในระดับต่ำได้ นอกจากจะป้องกันการแพร่เชื้อแล้ว ยังช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและปราศจากภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อ HIV ได้
  3. การสร้างความมั่นใจในการรักษา: การรับรู้เกี่ยวกับ U=U ส่งเสริมให้ผู้ที่ติดเชื้อยอมรับและปฏิบัติตามการรักษาอย่างเคร่งครัด เนื่องจากพวกเขารู้ว่าการรักษานั้นมีผลดีต่อสุขภาพของตนเองและยังช่วยป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น

Untransmittable การลดอคติและการตีตรา

Untransmittable

ผลกระทบของ U=U ไม่ได้หยุดอยู่แค่ด้านการแพทย์ แต่ยังส่งผลลึกซึ้งในระดับสังคม โดยเฉพาะในเรื่องของการลดการตีตราและอคติที่เคยมีต่อผู้ติดเชื้อ HIV ในอดีต ผู้ที่มีเชื้อ HIV มักจะเผชิญกับการถูกแยกออกจากสังคม เนื่องจากความกลัวว่าจะแพร่เชื้อได้ แต่การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับ U=U ช่วยให้สังคมเปลี่ยนมุมมองต่อผู้ติดเชื้อได้อย่างชัดเจน

การที่สังคมรับรู้ว่า “ตรวจไม่เจอ = ไม่แพร่เชื้อ” ช่วยทำให้เกิดการยอมรับที่มากขึ้นในหลายด้าน เช่น:

“ChatLove2test"
  • ลดการเลือกปฏิบัติในสถานที่ทำงาน: ผู้ที่มีเชื้อ HIV มักถูกเลือกปฏิบัติในการจ้างงานเนื่องจากความกลัวของนายจ้างหรือเพื่อนร่วมงาน แต่เมื่อสังคมเข้าใจว่า HIV ไม่สามารถแพร่เชื้อได้หากตรวจไม่เจอ การเลือกปฏิบัติเหล่านี้จะลดลง ทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถทำงานและมีชีวิตที่มีความหมายได้เหมือนคนทั่วไป
  • สร้างความมั่นใจในความสัมพันธ์ส่วนตัว: สำหรับคู่รักที่มีความต่างสถานะทางเชื้อ HIV (หนึ่งคนติดเชื้อและอีกคนไม่ได้ติดเชื้อ) U=U ช่วยให้พวกเขาสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงและปลอดภัยได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการแพร่เชื้อ แนวคิดนี้ช่วยลดความกลัวและสร้างความมั่นใจในชีวิตคู่ได้
  • ลดการตีตราในสังคม: การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับ U=U ช่วยลดความกลัวและความเข้าใจผิดที่สังคมเคยมีเกี่ยวกับ HIV ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อสามารถเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมโดยไม่ถูกกีดกันหรือประสบกับการเหยียดหยาม

การสร้างความเข้าใจและความหวังใหม่

Untransmittable

การที่แนวคิด U=U ได้รับการยอมรับในวงกว้างช่วยสร้างความหวังใหม่ให้กับผู้ติดเชื้อ HIV และครอบครัวของพวกเขา จากเดิมที่ HIV เป็นโรคที่มาพร้อมกับความกลัวและการกีดกัน แต่ปัจจุบัน ด้วยการรักษาทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ปกติและสุขภาพดีได้เหมือนกับคนทั่วไป

U=U ยังช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีแรงจูงใจในการเข้ารับการรักษาและดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้น และยังทำให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นโดยไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อคนรอบข้าง

“PrEPLove2test"

นอกจากนี้ แนวคิด U=U ยังเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการลดความไม่เท่าเทียมในสังคม การยอมรับแนวคิดนี้ช่วยส่งเสริมให้เกิดการดูแลและสนับสนุนผู้ติดเชื้อ HIV อย่างเหมาะสม และลดความไม่เสมอภาคที่พวกเขาเคยเผชิญในด้านต่าง ๆ เช่น การเข้าถึงบริการสาธารณสุข การทำงาน และการศึกษาด้วย

สรุป U=U คือการเปลี่ยนแปลงที่ครอบคลุมทั้งทางการแพทย์และสังคม

แนวคิด Untransmittable หรือส่วนหนึ่งใน U=U ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความก้าวหน้าทางการแพทย์ในการรักษาและป้องกันการแพร่เชื้อ HIV เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเปลี่ยนแปลงสังคมให้มีความเข้าใจและยอมรับผู้ที่ติดเชื้อ HIV มากขึ้น นอกจากจะช่วยลดการแพร่เชื้อได้จริง ยังช่วยลดการตีตรา อคติ และความเข้าใจผิดที่มีต่อผู้ติดเชื้อได้อย่างมาก

ในขณะที่การแพทย์ยังคงพัฒนา แนวคิด U=U จะยังคงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นสถานที่ที่มีความเท่าเทียม ความเข้าใจ และการสนับสนุนต่อผู้ที่ติดเชื้อ HIV อย่างแท้จริง เมื่อทุกคนเข้าใจว่า “ตรวจไม่เจอ = ไม่แพร่เชื้อ” เราก็สามารถสร้างสังคมที่ไม่เพียงแต่ปราศจากการแพร่เชื้อ HIV แต่ยังเต็มไปด้วยความรัก ความหวัง และความเท่าเทียมสำหรับทุกคน

Similar Posts

  • ยาต้าน HIV คืออะไร? เข้าใจง่าย ใช้รักษาได้จริง

    เมื่อพูดถึงการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ในปัจจุบัน สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือ “ความหวัง” ที่เกิดขึ้นจากการเข้าถึง “ยาต้าน HIV” หรือที่เรียกว่า ยาต้านไวรัส (Antiretroviral drugs) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลผู้ติดเชื้อในยุคใหม่ ยาต้านเหล่านี้สามารถยับยั้งไม่ให้เชื้อแพร่กระจายภายในร่างกาย ช่วยให้ภูมิคุ้มกันไม่เสื่อมลงจนเกิดโรคเอดส์ (AIDS) และที่สำคัญ คือ ทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตได้ใกล้เคียงคนทั่วไป ทั้งด้านสุขภาพ การงาน และความสัมพันธ์ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับยาต้าน HIV ตั้งแต่พื้นฐาน กลไกการทำงาน ประเภทของยา แนวทางการรักษา ผลข้างเคียง ไปจนถึงการเข้าถึงยาฟรีในประเทศไทย เพื่อให้ทุกคนมีความรู้และไม่กลัวการติดเชื้ออย่างที่เคยเป็นมา ยาต้าน HIV คืออะไร และทำงานอย่างไรในร่างกาย ? ยาต้านHIV เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อไวรัสเอชไอวีโดยตรง ทำหน้าที่ยับยั้งไม่ให้ไวรัสสามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้ เมื่อได้รับยาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ปริมาณไวรัสในเลือดของผู้ติดเชื้อจะลดลงจนตรวจไม่พบ (Undetectable) ซึ่งหมายความว่าร่างกายมีภูมิคุ้มกันกลับมาใกล้เคียงปกติ และสามารถป้องกันการถ่ายทอดเชื้อไปยังผู้อื่นได้ โดยเฉพาะจากแม่สู่ลูก หรือคู่รักที่มีเพศสัมพันธ์กันโดยไม่ได้ป้องกัน การเริ่มต้นยาต้าน HIV ต้องเตรียมตัวยังไง หากตรวจพบว่าติดเชื้อ HIV การเริ่มต้นยาต้านไม่ควรล่าช้า โดยทั่วไปแพทย์จะประเมินค่าภูมิคุ้มกัน (CD4) ระดับไวรัส…

  • ยา เพร็พ (PrEP) คืออะไร ? คู่มือสุขภาพป้องกัน HIV

    ในยุคปัจจุบันที่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังคงเป็นปัญหาสำคัญต่อสังคม การป้องกันล่วงหน้าเป็นหนึ่งในแนวทางที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด ยา เพร็พ (PrEP) จึงถูกพัฒนาและนำมาใช้ในวงการสาธารณสุขทั่วโลก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV ในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับยาเพร็พอย่างละเอียด ตั้งแต่วิธีการใช้ ประโยชน์ ผลข้างเคียง ตลอดจนการเข้าถึงบริการในประเทศไทย เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและดูแลสุขภาพได้อย่างมืออาชีพ ความหมายและความสำคัญของ ยาเพร็พ ยาเพร็พ (PrEP) ย่อมาจาก Pre-Exposure Prophylaxis คือแนวทางป้องกันการติดเชื้อ HIV ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยใช้ยาต้านไวรัสที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถลดโอกาสการติดเชื้อ HIV ได้อย่างมีนัยสำคัญ ยาเพร็พจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่องค์การอนามัยโลก (WHO) และหน่วยงานด้านสุขภาพทั่วโลกแนะนำให้ใช้ในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมทั้งเสริมสร้างความมั่นใจในการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ประเภทของยาเพร็พและแนวทางการใช้ เพร็พมี 2 รูปแบบหลัก คือ เพร็พรายวัน และ เพร็พแบบตามความเสี่ยง เพร็พรายวัน คือ การรับประทานยาเป็นประจำทุกวัน เพื่อสร้างระดับยาคงที่ในร่างกาย เหมาะกับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อเนื่อง ส่วนเพร็พแบบตามความเสี่ยง ใช้เฉพาะช่วงที่คาดว่าจะมีความเสี่ยง โดยต้องรับประทานยาตามสูตร และช่วงเวลาที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด ก่อนเริ่มใช้ยาเพร็พ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ ตรวจหาเชื้อ HIV รวมถึงตรวจการทำงานของตับและไต หากผลตรวจผ่านเกณฑ์…

  • ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง

    การติดเชื้อเอชไอวีนับว่าเป็นปัญหาระดับโลกที่หน่วยงานระดับสากล ได้ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยมุ่งหวังที่จะลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่สามารถค้นพบวิธีการรักษาให้หายขาดได้ 100% แต่การพัฒนาที่ก้าวล้ำมากที่สุดในตอนนี้ คือการรักษาผู้ป่วยให้สามารถมีชีวิตร่วมกับเชื้อเอชไอวีได้อย่างปกติ และที่ขาดไม่ได้คือการพัฒนาชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ( HIV Self Test) ซึ่งมีส่วนช่วยในการตรวจคัดกรองเอชไอวีเบื้องต้นได้ง่ายดาย อีกทั้งยังเข้าถึงผู้เสี่ยงต่อการติดเชื้อในระดับครัวเรือนอย่างทั่วถึงมากขึ้นด้วยเช่นกัน ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองคืออะไร? ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ( HIV Self Test) คือ ชุดเครื่องมือที่ทางการแพทย์ที่ได้ออกแบบมาอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ที่ต้องการทราบผลเลือดได้สามารถตรวจด้วยตัวเองอย่างสะดวกรวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่านความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี แต่ไม่ต้องการหรือไม่สะดวกในการเข้ารับการตรวจคัดกรองยังสถานพยาบาล เนื่องจากต้องการความเป็นส่วนตัวมากกว่า ซึ่งชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองได้มีการพัฒนาขึ้นโดยมีจุดประสงค์ให้ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงการตรวจเอชไอวีได้ง่ายมากยิ่งขึ้น โดยชุดตรวจที่มีประสิทธิภาพจะต้องได้รับการรับรองจากองค์กรระดับสากลอย่างถูกต้อง ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองดีไหม น่าเชื่อถือหรือไม่?  ข้อสงสัยนี้ถือว่าเป็นหัวข้อสำคัญที่หลายคนให้ความสนใจอย่างมาก เนื่องจากไม่มั่นใจว่าการตรวจเอชไอวีด้วยตนเองนั้น จะมีความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพแม่นยำเช่นเดียวกับการตรวจภายในสถานพยาบาลหรือไม่ ประกอบกับสามารถพบเห็นการขายชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองผ่านทางอินเทอร์เน็ตมากมาย ซึ่งง่ายและราคาค่อนข้างถูกจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าความน่าเชื่อถือของชุดตรวจจะดีหรือไม่อย่างไร โดยจากการประกาศอย่างเป็นทางการของคณะกรรมการอาหารและยา รวมถึงประกาศของกระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี 2562 ได้ปลดล็อกชุดตรวจเอชไอวีให้จำหน่ายได้อย่างถูกต้องในประเทศไทย ทั้งนี้จะต้องขึ้นทะเบียนและมีคุณสมบัติต่าง ๆ ตามกำหนดอย่างเคร่งครัด หากผู้ที่ต้องการใช้งานชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองเลือกซื้อผ่านแหล่งจำหน่ายที่ได้มาตรฐานย่อมส่งผลให้ได้รับชุดตรวจที่เชื่อถือได้เช่นเดียวกัน สิ่งสำคัญคือคุณสามารถหาซื้อได้อย่างสะดวกไม่ต้องเดินทางไปตรวจให้เสียเวลา ไม่ต้องเสียความเป็นส่วนตัวทางด้านข้อมูลให้ลำบากใจอีกต่อไป ทั้งนี้ยังได้รับผลการตรวจที่แม่นยำเทียบเท่าการตรวจในสถานพยาบาลอีกด้วย บทความอื่นๆ : มารู้จักเอดส์ กับระยะของการติดเชื้อ และผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงสังเกตตนเองอย่างไร จองตรวจเอชไอวี ฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่าย…

  •  การตรวจเอชไอวี

    หากพูดถึง การตรวจเอชไอวี (HIV) หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวและหลายคนเข้าใจผิด คิดว่าการตรวจเอชไอวี (HIV) นั้นยุ่งยาก ทำให้ไม่กล้ามาตรวจเพราะกลัว แต่จริงๆ แล้วการตรวจเอชไอวี HIV นั้นง่ายมาก เพียงแค่เจาะเลือดและรู้ผลได้เร็ว ที่สำคัญคนไทยทุกคน มีสิทธิตรวจฟรีถึงปีละ 2 ครั้ง แม้แต่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ก็สามารถเข้ารับการตรวจได้โดยไม่ต้องมีผู้ปกครองอีกด้วยทำให้การตรวจเอชไอวี (HIV) นั้นง่ายและสะดวกกว่าเดิม เอชไอวี คืออะไร? เอชไอวี ย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus คำว่า “ภูมิคุ้มกันบกพร่อง” หมายความว่าเชื้อไวรัสชนิดนี้ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆและทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันทำให้ร่างกายของคนเราสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อต่างๆได้ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงเรื่อยๆ ในที่สุดทำให้ผู้ที่ติดเชื้อเอช ไอ วีจะไม่สามารถต้านการติดเชื้อต่างๆได้ เช่น วัณโรคหรือมะเร็ง: เราเรียกภาวะนี้เรียกว่า ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์ ใครบ้างที่ควรเข้ารับการตรวจเอชไอวี การตรวจเพื่อให้เกิดความมั่นใจได้ว่าเราได้รับเชื้อหรือไม่ หากไม่ได้รับเชื้อจะได้รู้สึกสบายใจ แต่หากพบว่าตัวเองเสี่ยงติดเชื้อจะได้สามารถรักษาอาการได้โดยเร็ว โดยกลุ่มคนที่ควรเข้ารับการตรวจเอชไอวี ได้แก่ ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีความเสี่ยง หญิงตั้งครรภ์ ทารกที่คลอดโดยแม่ที่มีความเสี่ยง และ ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ขั้นตอนการตรวจเอชไอวี…

  • | | |

    ยาเพร็พ (PrEP) ป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อเอชไอวี

    ยาต้านไวรัสเอชไอวีเป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งหรือต้านการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี ช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้สูงสุดถึง 99% หากมีการใช้อย่างถูกวิธี Exposure prophylaxis เป็นยาที่ทานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี เท่านั้น ไม่ได้รวมถึงโรคอื่น โดยก่อนการรับยาต้องมีการประเมินความเสี่ยงจากประวัติของคนไข้ว่าตรงตามเงื่อนไขการรับยาหรือไม่ ประกอบกับการตรวจเลือดตามมาตรฐานสากล(คนไข้ที่จะรับยาจะต้องมีผลเอชไอวี เป็นลบ) และยาในกลุ่มนี้ต้องพิจารณาจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น เพื่อให้ร่างกายมีระดับยาที่เพียงพอในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยต้องจะรับประทานยาติดต่อกันทุกวันตลอดช่วงที่ยังมีความเสี่ยงอยู่ และการใช้ยาในลักษณะนี้จะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ โดยผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการตรวจเลือดก่อนเริ่มยาว่าตนไม่มีเชื้อเอชไอวี อยู่ก่อนแล้ว  ใครบ้างที่ควรได้รับยาเพร็พ (PrEP) ยาเพร็พ (PrEP) ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ได้กี่เปอร์เซ็นต์ การใช้ยา PrEP อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง โดยกินต่อเนื่องทุกวันไปอย่างน้อย 7 วันก่อนที่จะมีความเสี่ยง จะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อเอชไอวี จากการมีเพศสัมพันธ์ได้มากกว่า 90 % ส่วนในกรณีของผู้ใช้ยาเสพติดแบบฉีด สามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อลงได้ถึง 70% ดังนั้นถ้าเราอยากจะป้องกันให้ดีที่สุด ก็ควรกิน PrEP และใช้ถุงยางอนามัยด้วย เพราะหากพลาดอย่างใดอย่างหนึ่งไป (เช่น ถุงยางแตก หรือคู่ไม่ยอมใส่ หรือลืมกิน PrEP) ก็มีอีกอย่างที่ช่วยป้องกันเราจากการติดเชื้อเอชไอวีได้ ทำไงถ้าลืมทานยาเพร็พ (PrEP) หากลืมกินยา หรือกินยาไม่ตรงเวลาอย่างต่อเนื่อง สามารถ…

  • CD4 สำคัญอย่างไรกับผู้ติดเชื้อ HIV?

    HIV เป็นเชื้อไวรัสที่จะทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค และเชื้อไวรัสต่าง ๆ เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาว ถูกทำลายจนอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะถูกเชื้อไวรัสเอชไอวีโจมตีจนไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้และก่อให้พัฒนาจนกลายเป็นโรคเอดส์ (AIDS) เต็มขั้น การตรวจวัดจำนวน CD3/CD4/CD8 ในกระแสเลือด ซึ่งเป็น CD ที่มีความจำเพาะกับเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันชนิดที่ต้องมีการกระตุ้น ( Adaptive Immune Response ) คือ กลุ่มเม็ดเลือดขาว ชนิดที่สร้างแอนติบอดี ( B cells ) หรือ กลุ่มเม็ดเลือดขาวที่เป็นหน่วยความจำ ( T cells ) และมีความสำคัญต่อการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย CD4 คืออะไร? CD4 cells ย่อมาจากคำว่า Cluster of Differentiation 4 บางครั้งถูกเรียกว่า T-cells หรือ T-helper cells  CD4 คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ที่มีหน้าที่ควบคุม และต่อสู้กับเชื้อโรค…