โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted diseases)

โรคที่ติดต่อจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งโดยผ่านการมีเพศสัมพันธ์ แล้วทำให้เกิดโรค ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยเฉียบพลัน ทำให้เกิดภาวะการมีบุตรยาก ทุพลภาพและอาจตายได้ ซึ่งมผลกระทบต่อภาวะสุขภาพกาย และจิตใจและสุขภาพที่รุนแรงต่อทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กได้

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ 

Love2test”></a></div>
<p><strong><mark style=โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted diseases: STD) คือกลุ่มโรคที่เกิดจากการติดต่อผ่านทางเพศกับคนที่เป็นโรค หรือคนที่ติดเชื้อ ทั้งจากการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก และสามารถติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ ผ่านการถ่ายโอนเลือด หรือการใช้เข็มร่วมกันได้เหมือนกัน

สาเหตุของโรค

สาเหตุของโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

  1. เชื้อไวรัส ซึ่งบางชนิดรักษาหาย บางชนิดไม่มียารักษา บางชนิดจะแฝงตัวและเป็นซ้ำได้อีก เช่น เริม (Herpes Simplex),หูดหงอนไก่ (Papilloma Virus หรือ HPV),เอดส์ (HIV) และไวรัสตับอักเสบบี ฯลฯ
  2. เชื้อแบคทีเรีย รักษาหายได้ด้วยยาปฏิชีวนะ เช่น หนองในแท้ (Gonorrhea),หนองในเทียม (Chlamydia),ซิฟิลิส (Syphilis) และช่องคลอดอักเสบ ฯลฯ
  3. เชื้ออื่นๆ  สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น เชื้อพยาธิ (Trichomanas),เชื้อรา (Candida)

กลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • คนที่มีคู่นอนมากกว่า 1 คน ในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า      
  • ผู้ที่มีประวัติป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ใน 1 ปีที่ผ่านมา
  • ผู้ที่ไม่สวมถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์

อาการแบบใดสงสัยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  

  • ในผู้ชาย ปัสสาวะแสบขัด ขาหนีบบวม เป็นฝี เจ็บปวดอวัยวะเพศ มีผื่น ตุ่ม แผลบริเวณอวัยวะเพศ มีเมือกใสหรือหนองไหลออกมา
  • ในผู้หญิง รู้สึกเจ็บเสียวท้องน้อย ขาหนีบบวม เป็นฝี เจ็บปวด คันอวัยวะเพศ มีผื่น ตุ่ม แผลบริเวณอวัยวะเพศ มีตกขาวสีเหลืองมีกลิ่นเหม็น
อาการของโรค

อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • ปวด หรือมีตุ่ม มีผื่น หรือแผล ภายนอกอวัยวะเพศ ภายในอวัยวะเพศ หรือบริเวณทวารหนัก เจ็บหรือแสบเวลาปัสสาวะ 
  • มีของเหลวเป็นเมือกใส หรือหนองไหลออกมาจากอวัยวะเพศชาย
  • มีตกขาวสีเหลืองมีกลิ่น มีอาการคัน หรือระคายเคือง และตกขาวผิดปกติแบบเรื้อรังเป็นๆหายๆ
  • อวัยวะเพศหญิงมีเลือดไหลผิดปกติ
  • เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบบวม ปวดบริเวณขาหนีบ
  • ปวดท้องน้อย หรือเจ็บเสียวท้องน้อย
  • มีไข้
  • มีผื่นที่อวัยวะเพศชาย มือ หรือเท้า
  • ปัสสาวะแสบขัด
  • ขาหนีบบวม 
  • เป็นฝี 
  • เจ็บปวดอวัยวะเพศ
  • เชื้อบางชนิด อาจไม่แสดงอาการในระยะแรก หรือบางระยะโรค เช่น หูดหงอนไก่ชนิดที่ก่อมะเร็งปากมดลูก (High risk group HPV), เริม, เอดส์, ซิฟิลิสบางระยะ เป็นต้น

การรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยการกินหรือฉีดยาปฏิชีวนะให้ครบตามแพทย์สั่ง และให้ความสำคัญกับการพาคู่นอนมารับการตรวจรักษา

ส่วนโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิดจะอยู่ในร่างกายตลอดชีวิต เช่น เริม การรักษาจะช่วยควบคุมอาการโรคได้ แต่การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น เอชพีวี ร่างกายอาจกำจัดเชื้อได้เอง หากกำจัดไม่ได้เชื้ออาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งในอนาคต 

การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  

  • ใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์   
  • ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • ไม่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เสี่ยงติดโรค
  • รักษาความสะอาดร่างกาย และอวัยวะเพศอย่างสม่ำเสมอ                                          
  • ตรวจโรคเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะคู่ที่กำลังจะแต่งงาน  
  • ห้ามร่วมเพศ หากมีประจำเดือน เพราะจะทำให้เพิ่มความเสี่ยงของการติดโรคมากขึ้น
  • ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เพราะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ หากจำเป็นให้สวมถุงยางอนามัย
  • ไม่ควรสวนล้างช่องคลอด เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ง่าย
  • ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่ยังอายุน้อย เนื่องจากมีสถิติว่า ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อยจะมีโอกาสติด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สูง
  • ศึกษาเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ปรึกษาแพทย์ เมื่อมีอาการผิดปกติ หรือสงสัยว่าติดต่อโรค
รีบพบแพทย์

การปฏิบัติตัวของผู้ที่เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • ควรแจ้งให้คู่สามี/ภรรยาแจ้งคู่นอนให้ทราบว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อจะได้ป้องกัน ไม่ให้เชื้อแพร่ไปสู่คนอื่น
  • ต้องรักษาอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรค
  • งดการมีเพศสัมพันธ์ หรือหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ หรือการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้อาการอักเสบลุกลาม และเพื่อไม่ให้เชื้อแพร่ไปยังคนอื่น
  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ของมึนเมาทุกชนิด
  • ให้รีบพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างทันท่วงที และปฏิบัติตัวตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • ไม่ควรซื้อยามารักษาเอง ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง

ใครควรตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • กำลังวางแผนมีบุตรหรือแต่งงาน เชื้อโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางโรคสามารถส่งต่อไปยังทารกในครรภ์ได้
  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยาง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถติดต่อผ่านทางสารคัดหลั่งในช่องคลอด น้ำอสุจิ และเลือด หากไม่ใช้ถุงยางก็มีโอกาสสูงมากที่จะติดโรค
  • เพิ่งเปลี่ยนคู่นอนใหม่ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลายโรคไม่มีอาการแสดงออกให้รู้ได้เลย ดังนั้นเราไม่อาจแน่ใจได้ว่าคู่นอนของเรามีเชื้อหรือไม่
  • จับได้ว่าแฟนแอบเปลี่ยนคู่นอน เนื่องจากเชื้อสามารถส่งต่อกันได้แม้จะเพิ่งรับเชื้อก็ตาม
  • มีคู่นอนหลายคน หากมีพฤติกรรมเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน ก็ควรเข้ารับการตรวจ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไว้เพื่อความชัวร์
  • ถูกล่วงละเมิดทางเพศ มีโอกาสเสี่ยงอย่างมากที่จะติดโรคจากการถูกล่วงละเมิด เพราะไม่ทราบถึงสุขอนามัยของผู้กระทำ
  • เริ่มมีอาการของโรค โรคบางโรคก็อาจแสดงอาการออกมาให้เห็นชัดเจน เช่น ซิฟิลิส หนองใน อาจมีแผลบริเวณอวัยวะเพศ ปัสสาวะแล้วเจ็บ เป็นต้น
วิธีตรวจโรค

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ตรวจจากอะไร?

การตรวจสามารถทำได้หลายวิธี แพทย์จะเลือกการตรวจที่เหมาะสมที่สุดจากการซักประวัติ ซึ่งวิธีตรวจหลักๆ จะมีดังนี้

“Quicky"
  1. ตรวจเลือดหรือปัสสาวะ เป็นการตรวจที่นิยิมที่สุด เพราะสามารถตรวจได้หลายโรค เช่น เชื้อเอชไอวี เริม หนองใน ซิฟิลิส และไวรัสตับอักเสบ
  2. ตรวจภายใน (Pap smears) ปกติแล้วการตรวจด้วยวิธีแปป สเมียร์ เป็นการตรวจเพื่อสังเกตอาการเริ่มต้นของมะเร็งปากมดลูก แต่มะเร็งปากมดลูกก็อาจเกิดจากการติดเชื้อ HPV เมื่อมีเพศสัมพันธ์ได้เช่นกัน
  3. ตรวจสารคัดหลั่ง ในบางกรณีแพทย์อาจใช้การเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากอวัยวะเพศ ปากมดลูก ทางเดินปัสสาวะ หรือทวารหนัก เพื่อนำไปตรวจหาเชื้อได้
  4. ตรวจร่างกาย ในกรณีที่อาการเริ่มแสดงออกมาให้เห็นแล้ว การตรวจร่างกายก็สามารถใช้ประกอบการวินิจฉัยได้ เช่น เริม หูด ซิฟิลิส เป็นต้น

อ่านบทความอื่นๆ

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ :

“ChatLove2test"
  • โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ https://www.chularat3.com/knowledge_detail.php?lang=th&id=562
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ น่ากลัวแค่ไหน! https://blog.yesmomapp.com//โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์-น่ากลัวแค่ไหน-ad01768dca9e
  • ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์กันเถอะ (STD) https://hdmall.co.th/c/std-test
  • การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ https://www.synphaet.co.th//ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์/
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์คืออะไร และเกี่ยวข้องกับเชื้อ HIV อย่างไร? https://www.caremat.org/โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ/
  • เพศสัมพันธ์กับโรคติดต่อทางนรีเวช https://www.paolohospital.com/th-TH/center/Article/Details/บทความ-สุขภาพผู้หญิง/เพศสัมพันธ์กับโรคติดต่อทางนรีเวช

Similar Posts

  • เคล็ดลับห่างไกลจาก โรค HPV

    โรค HPV มีเคล็ดลับในการป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อ ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพ ได้แก่ หูดที่อวัยวะเพศ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก และมะเร็งในช่องปาก เป็นต้น การป้องกันไม่ให้ติดเชื้อไวรัสเอชพีวีเกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีน การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ ในบทความนี้ เราจะอธิบายถึงมาตรการป้องกันเพื่อที่จะสามารถลดความเสี่ยงในการรับติด โรค HPV ได้อย่างมีประโยชน์สูงสุด

  • |

    โรคเอดส์ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ป้องกันได้ รักษาได้

    “โรคเอดส์” หรือ AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นคำที่หลายคนเคยได้ยินมาตั้งแต่อดีต และในบางครั้งยังถูกใช้อย่างคลาดเคลื่อน จนเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคนที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ซึ่งเป็นไวรัสต้นเหตุของโรคเอดส์อย่างแท้จริง บางคนเข้าใจว่า HIV และเอดส์คือสิ่งเดียวกัน หรือเข้าใจว่าเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาได้และต้องเสียชีวิตในเวลาอันสั้น แต่ในความเป็นจริง ปัจจุบันความรู้ทางการแพทย์ได้พัฒนาไปไกลมาก บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจโรคเอดส์ อย่างถูกต้อง แยกให้ออกระหว่างการติดเชื้อ HIV กับการเป็นเอดส์ พร้อมทั้งพูดถึงวิธีการป้องกัน การรักษา และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพของผู้ที่ติดเชื้อ HIV ในปัจจุบัน HIV และเอดส์ ต่างกันอย่างไร ? อาการเหล่านี้มักไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน และมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล การตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัย HIV จึงเป็นวิธีที่แน่นอนที่สุด การวินิจฉัยและตรวจหา HIV การตรวจ HIV ในปัจจุบันสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว ทั้งในโรงพยาบาล คลินิกเวชกรรม หรือคลินิกชุมชนที่ให้บริการโดยไม่เปิดเผยชื่อ นอกจากนี้ยังมีชุดตรวจ HIV ด้วยตนเองที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาที่ได้รับอนุญาต การตรวจควรทำภายหลังมีพฤติกรรมเสี่ยงอย่างน้อย 2 – 4 สัปดาห์ และอาจต้องตรวจซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์ หากพบว่าติดเชื้อ…

  • โรคหูดหงอนไก่ คืออะไร? รู้ไว้ ป้องกันได้!

    โรคหูดหงอนไก่ (Genital Warts) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ที่พบได้บ่อยและมีผลกระทบต่อทั้งผู้ชายและผู้หญิงทั่วโลก โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส Human Papillomavirus (HPV) ซึ่งสามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์หรือการสัมผัสโดยตรงกับบริเวณที่ติดเชื้อ โรคหูดหงอนไก่ถือเป็นปัญหาสำคัญด้านสุขภาพทางเพศ เพราะนอกจากจะก่อให้เกิดความไม่สบายกายและจิตใจแล้ว ยังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนบางชนิด เช่น มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งที่อวัยวะเพศในระยะยาว โรคหูดหงอนไก่ เกิดจากอะไร? การวินิจฉัย โรคหูดหงอนไก่ แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคหูดหงอนไก่ได้โดย: การรักษา โรคหูดหงอนไก่ แม้ว่าเชื้อ HPV ไม่สามารถกำจัดออกจากร่างกายได้ 100% แต่การรักษาสามารถช่วยลดอาการและลดการแพร่เชื้อได้ วิธีการรักษา ได้แก่: “รู้ไว้ ป้องกันได้ เพราะสุขภาพที่ดี เริ่มต้นจากความเข้าใจและการดูแลตัวเอง” อ้างอิง Post Views: 1,364

  • รักษาหูดข้าวสุก ด้วยตัวเอง ทำได้หรือไม่

    หลายคนสงสัยว่าการ รักษาหูดข้าวสุก นั้นสามารถทำได้ด้วยตัวเองจริงหรือเปล่า ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทำได้ยากเพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าติดเชื้อมาตอนไหน และลักษณะของตุ่มก็มีความคล้ายคลึงกับโรคผิวหนังชนิดอื่นด้วย หากคิดจะ รักษาหูดข้าวสุก ควรทำการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้โดยตรงจะดีที่สุด ซึ่งวันนี้ เราจะมาแนะนำเรื่องเกี่ยวกับการรักษาหูดข้าวสุกและการป้องกันที่คุณควรรู้เพื่อจะได้ห่างไกลจากโรคนี้ได้ครับ หูดข้าวสุก คือโรคอะไรกันแน่? การวินิจฉัยโรคหูดข้าวสุก หากคุณสงสัยว่าจะเป็นโรคหูดข้าวสุก และทำการพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโรค ในเบื้องต้นแพทย์จะทำการซักประวัติและลักษณะอาการของโรคที่คุณกำลังเป็นอยู่ แล้วจึงเริ่มการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการร่วมด้วย เพื่อยืนยันผลการติดเชื้อไวรัสได้แม่นยำมากขึ้น ได้แก่ รักษาหูดข้าวสุก ทำได้อย่างไร? ความจริงแล้ว ในผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดี คุณจะสามารถหายจากโรคหูดข้าวสุกได้เอง แม้ไม่ได้รับการรักษา ภายในครึ่งปีถึง 1 ปี แต่ร่างกายคนเรานั้น ก็ไม่อาจมองจากภายนอกอย่างเดียวได้ว่ามีความแข็งแรงแค่ไหน หากคุณไม่ได้รับการตรวจรักษา หูดข้าวสุกอาจจะยังคงอยู่ต่อเนื่องยาวนานกว่า 5 ปีเลยทีเดียว โดยการรักษาสามารถทำได้หลายวิธี หรือแพทย์อาจพิจารณาเลือกใช้หลายวิธีร่วมกัน ขึ้นอยู่กับขนาด จำนวน และตำแหน่งของหูดข้าวสุกที่เกิดขึ้น ดังวิธีต่อไปนี้ อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ Post Views: 1,247

  • โรคหนองใน สาเหตุ, อาการ, การรักษา

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ กลุ่มโรคที่เกิดจากการติดต่อผ่านทางเพศกับคนที่เป็นโรค หรือคนที่ติดเชื้อ ทั้งจากการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก และสามารถติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ ผ่านการถ่ายโอนเลือด หรือการใช้เข็มร่วมกันได้เหมือนกัน   โดยสามารแบ่งประเภทเชื้อที่เป็นต้นเหตุของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้น ๆ ได้แก่ เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส  เชื้อรา พยาธิ เป็นต้น โรคหนองใน (Gonorrhoea) คืออะไร? โดยเชื้อแบคทีเรีย ไนซีเรีย โกโนเรีย ชนิดนี้สามารถเจริญได้ดีในที่ชื้นและที่อบอุ่นของระบบอวัยวะสืบพันธุ์มนุษย์ตั้งแต่ปากมดลูก มดลูก ปีกมดลูก ท่อปัสสาวะ ซึ่งพบทั้งในผู้ชายและผู้หญิง และยังสามารถเจริญเติบโตได้ในบริเวณอื่น ๆ  ได้ เช่น ทวารหนัก เยื่อบุตา ช่องปากและคอ เชื้อจึงสามารถติดต่อทางปากได้ด้วย การติดเชื้อจะเริ่มจากการสัมผัสเยื่อบุช่องปาก ช่องคลอด ทวารหนัก อวัยวะเพศ ที่มีเชื้อผ่านการสัมผัสทั้งการมีร่วมเพศ และอาจไม่มีการร่วมเพศ หรือหลั่งอสุจิเลยก็ได้ และในหญิงที่เป็นโรคและมีเชื้อในช่องคลอด สามารถแพร่จากช่องคลอดไปทหารหนัก และจากทหารหนักไปช่องคลอดได้เช่นกัน นอกจากนี้การติดเชื้อหนองในแท้ที่บริเวณอื่น ๆ เช่น ทวารหนัก ลำคอ ดวงตา หรือข้อต่อก็ย่อมทำให้มีอาการแตกต่างกันไป…

  • ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีผลกระทบต่อทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์ การติดเชื้อบางอย่างสามารถรักษาได้เพื่อให้คุณ และคู่นอนของคุณมีสุขภาพที่แข็งแรง และคุณเองสามารถป้องกันตัวเองจากการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ STI  คืออะไร? โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่รักษาไม่หายขาด วิธีการป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทำอย่างไรได้บ้าง อ่านบทความอื่นๆ