PrEP ซื้อที่ไหน ราคาเท่าไร รวมคำตอบที่ควรรู้

PrEP ซื้อที่ไหน ราคาเท่าไร? รวมคำตอบที่ควรรู้

ในยุคที่การป้องกันเอชไอวี (HIV) มีความสำคัญอย่างยิ่ง PrEP หรือ Pre-Exposure Prophylaxis ได้กลายเป็นทางเลือกที่หลายคนให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นยาต้านไวรัสที่ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อได้เกือบ 100% หากใช้ถูกต้องและต่อเนื่อง การมีข้อมูลที่ถูกต้องว่า PrEP ซื้อที่ไหน และราคาเท่าไร จึงเป็นคำถามสำคัญที่ผู้คนจำนวนมากอยากได้คำตอบอย่างชัดเจน การหาซื้อ PrEP ไม่ใช่แค่การซื้อยา แต่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย คุณภาพของยา การดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง และค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม บทความนี้จะอธิบายทุกประเด็นที่คุณควรรู้ ตั้งแต่พื้นฐานของ PrEP ความสำคัญ ราคา ช่องทางซื้อ ไปจนถึงปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนเริ่มใช้ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าทุกการตัดสินใจจะเป็นไปอย่างรอบคอบและปลอดภัย

ยา PrEP คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ

PrEP ย่อมาจาก Pre-Exposure Prophylaxis เป็นการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีสำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ โดยเป้าหมายคือการป้องกันไม่ให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายและสร้างการติดเชื้อถาวร หลักการทำงานของ PrEP คือการสร้างระดับยาที่เพียงพอในเลือดและเนื้อเยื่อ หากเชื้อ HIV เข้ามาในร่างกายระหว่างการมีเพศสัมพันธ์หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เชื้อจะไม่สามารถแพร่กระจายและฝังตัวได้ งานวิจัยระดับนานาชาติยืนยันว่า หากใช้ PrEP อย่างถูกต้องและต่อเนื่อง สามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อได้เกือบ 100% และหากใช้ควบคู่กับถุงยางอนามัย จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ ได้เพิ่มเติมอีก PrEP จึงถือเป็นการป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูง และได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐอเมริกา (CDC)

Love2test”></a></div>




<h2 class=PrEP ซื้อที่ไหน ในประเทศไทย

ในประเทศไทย PrEP สามารถเข้าถึงได้เฉพาะผ่านแพทย์และสถานพยาบาลที่มีมาตรฐาน เท่านั้น ไม่สามารถซื้อได้เองตามร้านขายยาหรือช่องทางออนไลน์ได้ โดยทั่วไปสามารถเข้าถึง PrEP ได้จาก 3 ช่องทางหลัก ได้แก่

  1. โรงพยาบาลของรัฐ ในไทยปัจจุบันมียา PrEP ฟรี สำหรับผู้ที่เข้าเกณฑ์ความเสี่ยงผ่านโครงการที่สนับสนุนโดย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมการตรวจสุขภาพก่อนเริ่มใช้ และติดตามทุก 3 เดือน
  2. โรงพยาบาลเอกชน ให้บริการ PrEP ภายใต้ความสะดวก รวดเร็ว และความเป็นส่วนตัวสูง มีการติดตามผลอย่างใกล้ชิด ราคาสูงกว่าโรงพยาบาลรัฐ แต่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบริการแบบครบวงจร
  3. คลินิกเฉพาะทางและคลินิกชุมชน หลายแห่งได้รับการสนับสนุนจากโครงการด้านสุขภาพ ทำให้มีค่าใช้จ่ายถูกลง หรือในบางกรณีไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย การดูแลโดยแพทย์ยังคงเป็นมาตรฐาน และมีบรรยากาศที่เป็นมิตรกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย และหญิงข้ามเพศ

ทำไม PrEP ต้องจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น

ทำไม PrEP ต้องจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น

PrEP ไม่ใช่ยาที่สามารถซื้อได้เองตามร้านขายยาหรือผ่านช่องทางออนไลน์ เนื่องจากเป็นยาที่ต้องจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น และต้องได้รับการดูแลติดตามอย่างใกล้ชิด การเริ่มใช้ PrEP ไม่ได้หมายถึงการรับยาแล้วสามารถใช้ได้ทันที แต่ผู้ใช้จำเป็นต้องผ่านการตรวจเลือด เพื่อยืนยันว่าไม่มีการติดเชื้อเอชไอวี ตรวจการทำงานของตับและไต รวมถึงตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ขั้นตอนเหล่านี้มีความสำคัญมาก เพราะหากข้ามไปอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการใช้ยาอย่างไม่ถูกต้อง และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว

นอกจากนี้ การติดตามผลทุก 3 เดือนถือเป็นหัวใจสำคัญของการใช้ PrEP เพราะช่วยให้มั่นใจว่าผู้ใช้ยังคงปลอดจากเชื้อเอชไอวี รวมถึงช่วยประเมินผลข้างเคียงจากการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง การมีแพทย์คอยกำกับดูแลจึงไม่เพียงแค่ทำให้การใช้ PrEP ปลอดภัยยิ่งขึ้น แต่ยังทำให้ผู้ใช้ได้รับการดูแลสุขภาพในภาพรวมอย่างครบถ้วนอีกด้วย

ราคา PrEP ในประเทศไทย

ค่าใช้จ่ายในการรับบริการ PrEP (เพร็พ) ในประเทศไทย จะแตกต่างกันไปตามสถานพยาบาล รวมถึงการสนับสนุนจากโครงการด้านสุขภาพต่าง ๆ โดยแบ่งได้ดังนี้

“ChatLove2test"

โรงพยาบาลของรัฐ

  • ผู้ที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสามารถรับ PrEP ได้ ฟรี ผ่านโครงการที่สนับสนุนโดย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
  • หากไม่อยู่ในเกณฑ์กลุ่มเสี่ยง อาจมีค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

โรงพยาบาลเอกชน

“PrEPLove2test"
  • ราคาประมาณ 1,500 – 5,000 บาทต่อเดือน ครอบคลุมทั้งค่ายา ค่าตรวจสุขภาพ และค่าบริการ
  • ราคาขึ้นอยู่กับ ยี่ห้อของยา และอัตราค่าบริการของแต่ละโรงพยาบาล

คลินิกเฉพาะทาง และคลินิกชุมชน

  • ส่วนใหญ่เกิดจากการสนับสนุนของโครงการสาธารณสุขหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • หลายแห่งมีบริการ ฟรี หรือมีค่าใช้จ่ายเพียง ไม่เกิน 500 บาทต่อเดือน

การตรวจสุขภาพก่อนและระหว่างใช้ PrEP

มาตรฐานการใช้ PrEP กำหนดให้มีการตรวจสุขภาพทั้งก่อนเริ่มใช้และระหว่างใช้ยา โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • ก่อนเริ่มใช้ PrEP: ต้องตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี ตรวจการทำงานของตับและไต และตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ระหว่างใช้ PrEP: ต้องตรวจติดตามทุก 3 เดือน เพื่อยืนยันว่าไม่มีการติดเชื้อใหม่ และตรวจสอบการทำงานของอวัยวะภายใน

การตรวจอย่างสม่ำเสมอช่วยให้มั่นใจว่าการใช้ PrEP มีความปลอดภัยสูงสุด และลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว

เปรียบเทียบ ข้อดีและข้อเสีย ของแต่ละช่องทาง

การเลือกว่าจะซื้อ PrEP ที่ไหนขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละบุคคล โรงพยาบาลของรัฐมีข้อดีเรื่องราคาที่ถูกกว่า แต่ต้องรอคิวนาน โรงพยาบาลเอกชนมีบริการที่รวดเร็วและเป็นส่วนตัว แต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า ส่วนคลินิกชุมชนเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นมิตร ราคาไม่แพง และยังได้รับการดูแลจากแพทย์เช่นเดียวกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือไม่ว่าคุณจะเลือกช่องทางไหน PrEP จะต้องจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น และมีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง

PrEP แบบเม็ด และแบบฉีด ต่างกันอย่างไร ?

PrEP แบบเม็ด และแบบฉีด ต่างกันอย่างไร

ปัจจุบัน PrEP มีให้เลือกทั้งในรูปแบบยาเม็ด และแบบฉีดเข้ากล้ามเนื้อ โดยยาเม็ดต้องรับประทานเป็นประจำทุกวัน หรือในบางกรณีสามารถใช้เฉพาะช่วงที่มีความเสี่ยง ส่วน PrEP แบบฉีด จะออกฤทธิ์ยาวนานกว่าหลังจากได้รับการฉีด ทำให้ไม่ต้องกังวลกับการกินยาทุกวัน การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับความสะดวก ไลฟ์สไตล์ ความเหมาะสมทางสุขภาพ และคำแนะนำจากแพทย์ หากเป็นผู้ที่สามารถรับประทานยาได้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ แบบเม็ดก็ถือว่าเหมาะสม ขณะที่แบบฉีดช่วยลดภาระเรื่องการกินยา แต่ต้องเข้ารับบริการฉีดตามนัดที่แพทย์กำหนด ไม่ว่าจะเลือกใช้ในรูปแบบใด ทั้งยาเม็ด และยาฉีดต่างก็มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี

อ่านบทความที่น่าสนใจ

การใช้ PrEP อย่างถูกต้องไม่เพียงช่วยป้องกันคุณจากเอชไอวี แต่ยังช่วยสร้างความมั่นใจในชีวิตประจำวัน สิ่งสำคัญคือการใช้ PrEP ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ มีการตรวจสุขภาพก่อนเริ่มใช้ และตรวจติดตามทุก 3 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุด

แหล่งที่มา

  • World Health Organization (WHO). Guidelines on when to start antiretroviral therapy and on pre-exposure prophylaxis for HIV. Geneva: WHO; 2015. https://www.who.int/hiv/pub/guidelines/earlyrelease-arv/en/
  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Pre-exposure Prophylaxis (PrEP). Atlanta: CDC; 2024. https://www.cdc.gov/hiv/basics/prep.html
  • UNAIDS. PrEP and the prevention of HIV infection: policy brief. Geneva: UNAIDS; 2021. https://www.unaids.org/en/resources/documents/2021/PrEP-policy-brief

Similar Posts

  • ยาต้าน HIV คืออะไร? เข้าใจง่าย ใช้รักษาได้จริง

    เมื่อพูดถึงการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ในปัจจุบัน สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือ “ความหวัง” ที่เกิดขึ้นจากการเข้าถึง “ยาต้าน HIV” หรือที่เรียกว่า ยาต้านไวรัส (Antiretroviral drugs) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลผู้ติดเชื้อในยุคใหม่ ยาต้านเหล่านี้สามารถยับยั้งไม่ให้เชื้อแพร่กระจายภายในร่างกาย ช่วยให้ภูมิคุ้มกันไม่เสื่อมลงจนเกิดโรคเอดส์ (AIDS) และที่สำคัญ คือ ทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตได้ใกล้เคียงคนทั่วไป ทั้งด้านสุขภาพ การงาน และความสัมพันธ์ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับยาต้าน HIV ตั้งแต่พื้นฐาน กลไกการทำงาน ประเภทของยา แนวทางการรักษา ผลข้างเคียง ไปจนถึงการเข้าถึงยาฟรีในประเทศไทย เพื่อให้ทุกคนมีความรู้และไม่กลัวการติดเชื้ออย่างที่เคยเป็นมา ยาต้าน HIV คืออะไร และทำงานอย่างไรในร่างกาย ? ยาต้านHIV เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อไวรัสเอชไอวีโดยตรง ทำหน้าที่ยับยั้งไม่ให้ไวรัสสามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้ เมื่อได้รับยาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ปริมาณไวรัสในเลือดของผู้ติดเชื้อจะลดลงจนตรวจไม่พบ (Undetectable) ซึ่งหมายความว่าร่างกายมีภูมิคุ้มกันกลับมาใกล้เคียงปกติ และสามารถป้องกันการถ่ายทอดเชื้อไปยังผู้อื่นได้ โดยเฉพาะจากแม่สู่ลูก หรือคู่รักที่มีเพศสัมพันธ์กันโดยไม่ได้ป้องกัน การเริ่มต้นยาต้าน HIV ต้องเตรียมตัวยังไง หากตรวจพบว่าติดเชื้อ HIV การเริ่มต้นยาต้านไม่ควรล่าช้า โดยทั่วไปแพทย์จะประเมินค่าภูมิคุ้มกัน (CD4) ระดับไวรัส…

  • CD4 สำคัญอย่างไรกับผู้ติดเชื้อ HIV?

    HIV เป็นเชื้อไวรัสที่จะทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค และเชื้อไวรัสต่าง ๆ เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาว ถูกทำลายจนอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะถูกเชื้อไวรัสเอชไอวีโจมตีจนไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้และก่อให้พัฒนาจนกลายเป็นโรคเอดส์ (AIDS) เต็มขั้น การตรวจวัดจำนวน CD3/CD4/CD8 ในกระแสเลือด ซึ่งเป็น CD ที่มีความจำเพาะกับเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันชนิดที่ต้องมีการกระตุ้น ( Adaptive Immune Response ) คือ กลุ่มเม็ดเลือดขาว ชนิดที่สร้างแอนติบอดี ( B cells ) หรือ กลุ่มเม็ดเลือดขาวที่เป็นหน่วยความจำ ( T cells ) และมีความสำคัญต่อการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย CD4 คืออะไร? CD4 cells ย่อมาจากคำว่า Cluster of Differentiation 4 บางครั้งถูกเรียกว่า T-cells หรือ T-helper cells  CD4 คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ที่มีหน้าที่ควบคุม และต่อสู้กับเชื้อโรค…

  • | | | |

    15 เรื่องที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์

    ถึงแม้ว่าโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจะมีมานานมากแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังมีความรู้ความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี ทำให้ปัจจุบันต้องมีการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี หรือการเผยแพร่ความรู้ใหม่ ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง เอชไอวี คืออะไร เชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus) คือ ไวรัสที่จะเข้าไปกัดกินทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เรื่องที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์ 1. โรคเอดส์ กับ เชื้อเอชไอวี เป็นคนละตัวกัน HIV คือ เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง  ส่วนโรคเอดส์ คือ โรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นหลังภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เชื้อเอชไอวีทำลาย 2. โรคเอดส์ ยังมีโอกาสรอดชีวิต ปัจจุบันยังไม่มียาที่รักษาโรคเอดส์ได้โดยตรง แต่ถ้าหากตรวจพบในระยะที่ยังเป็นการติดเชื้ออยู่ สามารถทานยาต้านไวรัส เพื่อไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำร้ายภูมิคุ้มกันในร่างกาย จนเกิดอาการความผิดปกติออกมา ดังนั้นหากตรวจพบเชื้อได้เร็ว ก็จะยิ่งควบคุมเชื้อไวรัสเอชไอวีได้ง่าย จนไม่เชื้อไม่พัฒนาเป็นโรคเอดส์ที่สมบูรณ์ โอกาสรอดก็มีสูงขึ้น และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติเหมือนคนทั่วไป 5. เชื้อเอชไอวีไม่ใช่ไข้หวัดที่จะติดต่อกันได้ง่าย 6. เชื้อเอชไอวีแพร่ผ่านการสัมผัส น้ำตา เหงื่อ น้ำลาย หรือปัสสาวะได้…

  • | | | | |

    Undetectable แล้วไม่ป้องกันได้ไหม ปลอดภัยจริงไหม?

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิด หรือ “U=U” ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแพทย์และสาธารณสุข โดยคำว่า “Undetectable” หมายถึงการที่ปริมาณไวรัส HIV ในเลือดของผู้ติดเชื้อลดต่ำจนไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยการทดสอบมาตรฐาน ซึ่งเกิดจากการที่ผู้ติดเชื้อได้รับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัส (ART) อย่างสม่ำเสมอ แนวคิด U=U เป็นที่ยอมรับทางวิทยาศาสตร์ว่า ผู้ที่มีปริมาณไวรัส HIV ต่ำจนตรวจไม่พบ ไม่สามารถแพร่เชื้อให้คู่นอนผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้ อย่างไรก็ตาม คำถามที่หลายคนยังคงสงสัยคือ ถ้าไวรัสตรวจไม่พบแล้ว สามารถมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยได้ไหม และมันปลอดภัยจริงหรือ?

  • |

    วิธีการรักษาผื่นที่เกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี

    ผื่นที่ผิวหนัง เป็นอาการทั่วไปเมื่อเกิดการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ขึ้น อาการมักจะเป็นสัญญาณเริ่มแรก และมักจะเกิดขึ้นในช่วง 2 – 3 สัปดาห์หลังได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างก่าย ซึ่งอาการผื่นอาจไม่ได้เป็นเกิดจากการติดเชื้อเท่านั้น แต่ยังเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้จากยาที่ใช้รักษาการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ได้ด้วย ผื่นที่เกิดจากเชื้อเอชไอวี อาจจะเรียกว่า ผื่นเอชไอวี หรือเอดส์เฉียบพลัน  เป็นผื่นเอชไอชวีเฉียบพลันมักจะเกิดขึ้นในช่วงแรกของการติดเชื้อ ผื่นจะปรากฏในส่วนเดียว หรือหลายส่วนของร่างกาย และอาจทำให้เกิดอาการคันที่ผืนด้วย  ผื่นที่เกิดจากเชื้อเอชไอวี มักจะเป็นจุดด่างดวงบนผิวหนัง ถ้าเป็นคนผิวขาวก็จะเป็นจุดสีแดง แต่ถ้าเป็นคนผิวสีเข้มก็จะเป็นสีดำอมม่วง โดยความรุนแรงของผื่นจะไม่เท่ากันในแต่ละคน บางคนก็อาจจะมีผื่นขึ้นรุนแรงมากเป็นบริเวณกว้าง ในขณะที่บางคนก็อาจจะมีผื่นขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น แต่ถ้าผื่นที่เกิดจากเชื้อเอชไอวี เป็นผลมาจากยาต้านไวรัส ผื่นจะเป็นรอยแผลแดงบวมไปทั่วร่างกาย ผื่นแบบนี้เรียกว่า ผื่นแพ้ยา สังเกตว่าผื่นขึ้นตรงไหล่ หน้าอก ใบหน้า ท่อนบนของร่างกาย และมือหรือไม่ ผื่นเอชไอวีจะมีอาการเจ็บ และคัน ในช่วงเวลาที่ ผื่นปรากฏและจะมาพร้อมกับอาการอื่น ๆ ซึ่งถือว่าเป็นอาการเริ่มแรกของการติดเชื้อเอชไอวี อาการเหล่านี้ สาเหตุของผื่นจากเชื้อเอชไอวี ผื่นเกิดจากการที่เซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกายลดลง จะเกิดขึ้นในระยะไหนของการติดเชื้อก็ได้ แต่โดยทั่วไปแล้ว มีผื่นจะเกิดขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์หลังจากที่คุณได้รับเชื้อ เป็นระยะที่เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงในตัวอย่างเลือด ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเราสามารถตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีได้จากการตรวจเลือด แต่บางคนก็อาจจะไม่ผ่านขั้นตอนนี้ แต่จะมีผื่นขึ้นหลังจากติดเชื้อไวรัสไปถึงระยะอื่นแล้วก็ได้…

  • | |

    PEP ยาเป็ปกับสิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มทาน

    ในด้านของสุขภาพ ความรู้ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียว แต่มักเป็นสิ่งที่เราจะสามารถป้องกันความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ในโลกนี้มีสิ่งที่สำคัญแต่มักถูกมองข้ามไปเช่น PEP คือสิ่งที่มาพร้อมกับการป้องกันในปัญหาสุขภาพระดับโลกที่สำคัญนั่นคือเอชไอวี เป็ป ยังคงเป็นสิ่งที่จะสามารถต่อสู้กับเอชไอวีได้โดยให้การช่วยเหลือสำหรับบุคคลที่อาจได้รับการสัมผัสกับเชื้อไวรัส เป็ป เป็นวิธีการดูแลสุขภาพในช่วงเวลาหลังจากสัมผัสเชื้อเอชไอวีหรือหลังเกิดความเสี่ยง