วิธีการรักษาผื่นที่เกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี
|

วิธีการรักษาผื่นที่เกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี

ผื่นที่ผิวหนัง เป็นอาการทั่วไปเมื่อเกิดการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ขึ้น อาการมักจะเป็นสัญญาณเริ่มแรก และมักจะเกิดขึ้นในช่วง 2 – 3 สัปดาห์หลังได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างก่าย ซึ่งอาการผื่นอาจไม่ได้เป็นเกิดจากการติดเชื้อเท่านั้น แต่ยังเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้จากยาที่ใช้รักษาการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ได้ด้วย

ผื่นที่เกิดจากเชื้อเอชไอวี

อาจจะเรียกว่า ผื่นเอชไอวี หรือเอดส์เฉียบพลัน  เป็นผื่นเอชไอชวีเฉียบพลันมักจะเกิดขึ้นในช่วงแรกของการติดเชื้อ ผื่นจะปรากฏในส่วนเดียว หรือหลายส่วนของร่างกาย และอาจทำให้เกิดอาการคันที่ผืนด้วย 

Love2test”></a></div>




<p><strong>วิธีการสังเกตผื่น มีดังนี้</strong></p>



<p><strong>สังเกตดูว่าเป็นผื่นแดง บวมเล็กน้อย และคันมากๆ หรือไม่</strong></p><div class='code-block code-block-2' style='margin: 8px 0; clear: both;'>
<a href=“Quicky"

ผื่นที่เกิดจากเชื้อเอชไอวี มักจะเป็นจุดด่างดวงบนผิวหนัง ถ้าเป็นคนผิวขาวก็จะเป็นจุดสีแดง แต่ถ้าเป็นคนผิวสีเข้มก็จะเป็นสีดำอมม่วง โดยความรุนแรงของผื่นจะไม่เท่ากันในแต่ละคน บางคนก็อาจจะมีผื่นขึ้นรุนแรงมากเป็นบริเวณกว้าง ในขณะที่บางคนก็อาจจะมีผื่นขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น แต่ถ้าผื่นที่เกิดจากเชื้อเอชไอวี เป็นผลมาจากยาต้านไวรัส ผื่นจะเป็นรอยแผลแดงบวมไปทั่วร่างกาย ผื่นแบบนี้เรียกว่า ผื่นแพ้ยา

สังเกตว่าผื่นขึ้นตรงไหล่ หน้าอก ใบหน้า ท่อนบนของร่างกาย และมือหรือไม่

“ChatLove2test"

ผื่นที่เกิดจากเชื้อเอชไอวี มักจะขึ้นในบริเวณเหล่านี้ แต่ก็มักจะหายไปเองภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ทำให้บางคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาการแพ้ หรือผิวหนังอักเสบ ซึ่งผื่นที่เกิดจากเอชไอวี ไม่สามารถติดต่อกันได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความเสี่ยงว่าจะแพร่เชื้อเอชไอวี ผ่านทางผื่นสู่คนอื่นได้

สังเกตอาการอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นตอนที่เป็นผื่นเอชไอวี

“PrEPLove2test"

ผื่นเอชไอวีจะมีอาการเจ็บ และคัน ในช่วงเวลาที่ ผื่นปรากฏและจะมาพร้อมกับอาการอื่น ๆ ซึ่งถือว่าเป็นอาการเริ่มแรกของการติดเชื้อเอชไอวี อาการเหล่านี้

  • คลื่นไส้และอาเจียน
  • แผลในปาก
  • มีไข้ และปวดหัว
  • ท้องเสีย
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • ตะคริวและปวดตามร่างกาย
  • ต่อมน้ำเหลืองโต และบวม
  • สายตาเบลอหรือพร่ามัว
  • ไม่อยากอาหาร
  • ปวดตามข้อ
  • ความเมื่อยล้า
  • อาการเจ็บคอ
  • สูญเสียความกระหาย
  • น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ

สาเหตุของผื่นจากเชื้อเอชไอวี

ผื่นเกิดจากการที่เซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกายลดลง จะเกิดขึ้นในระยะไหนของการติดเชื้อก็ได้ แต่โดยทั่วไปแล้ว มีผื่นจะเกิดขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์หลังจากที่คุณได้รับเชื้อ เป็นระยะที่เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงในตัวอย่างเลือด ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเราสามารถตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีได้จากการตรวจเลือด แต่บางคนก็อาจจะไม่ผ่านขั้นตอนนี้ แต่จะมีผื่นขึ้นหลังจากติดเชื้อไวรัสไปถึงระยะอื่นแล้วก็ได้

และนอกจากนี้ผื่นเอชไอวี ยังอาจเป็นอาการแพ้ยาต้านไวรัสเอชไอวี ก็ได้ เช่น Amprenavir Abacavir และ Nevirapine อาจก่อให้เกิดผื่นเอชไอวี ได้

ในช่วงของการติดเชื้อเอชไอวี ในระยะที่สาม คุณอาจจะมีผื่นขึ้นเนื่องจากผิวหนังอักเสบ ผื่นเอชไอวี ชนิดนี้จะเป็นสีชมพูหรือออกแดงๆ และคัน มักจะขึ้นเป็นเวลา 1-3 ปีและมักจะขึ้นตรงขาหนีบ รักแร้ หน้าอก ใบหน้า และหลัง

ตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวี

วิธีการรักษาผื่นที่เกิดจากเชื้อเอชไอวี

ถ้าคุณมีผื่นขึ้นเล็กน้อย ให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี

หากยังไม่ได้ตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวี แพทย์ก็อาจจะตรวจเพื่อดูว่าได้รับเชื้อไวรัสหรือเปล่า

  • ถ้าผลเป็นลบ ก็อาจจะหาสาเหตุอื่นต่อไปว่า ผื่นที่เกิดขึ้นจากการปฏิกิริยาแพ้อาหารหรือปัจจัยอื่นๆ หรือไม่ และอาจจะมีปัญหาผิวหนังอักเสบก็ได้
  • ถ้าผลเป็นบวก แพทย์อาจจะสั่งยาต้านและรักษาเชื้อเอชไอวี ทำให้มีผื่นขึ้นเล็กน้อย แต่ผื่นจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์

เพื่อให้อาการของผื่นลดลงโดยเฉพาะอาการคัน แพทย์อาจจะสั่งสารต้านฮิสทามีน เช่น Benadryl หรือ Atarax หรือครีมที่มีส่วนประกอบของคอร์ติโคสตีรอยด์ให้เพื่อรักษาอาการคันที่ผื่นได้

เข้ารับการรักษาทันทีหากอาการผื่นรุนแรง

ผื่นบางชนิดอาจจะมีอาการไม่รุนแรง ในขณะที่บางชนิดอาจจะทำให้เกิดการทำลายผิวหนังอย่างรุนแรง และทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้  อาการผื่นขึ้นอย่างรุนแรงยังอาจเกิดร่วมกับอาการอื่นๆ ของเชื้อไวรัส เช่น มีไข้ คลื่นไส้หรืออาเจียน ปวดกล้ามเนื้อ และแผลในปากด้วย ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป

ปรึกษาแพทย์หากอาการแย่ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรับประทานยา

บางคนอาจจะมีภาวะภูมิไวเกินต่อยาบางตัว ทำให้อาการติดเชื้อเอชไอวี รวมทั้งผื่นเอชไอวี แย่ลง แพทย์อาจจะสั่งให้หยุดยา และให้ยาตัวอื่นที่สามารถกินแทนได้ โดยอาการของภาวะภูมิไวเกินมักจะหายไปภายใน 24-48 ชั่วโมง ชนิดของยาต้านไวรัสมี 3 ชนิดหลัก ๆ ที่อาจทำให้เกิดผื่นที่ผิวหนังได้ก็คือ 

  • NNRTIs
  • NRTIs
  • PIs
  • NNRT เช่น nevirapine (Viramune) เป็นยาที่ทำให้เกิดผื่นที่ผิวหนังได้บ่อยที่สุด Abacavir (Ziagen) เป็นยา NRTI ที่อาจทำให้เกิดผื่นที่ผิวหนัง PIs และ amprenavir (Agenerase) กับ tipranavir (Aptivus) ก็อาจทำให้ผื่นขึ้นได้เช่นเดียวกัน

อย่ารับประทานยาที่ก่อให้เกิดอาการแพ้

ถ้าแพทย์แนะนำให้คุณหยุดกินยา เนื่องจากภาวะภูมิไวเกิน หรืออาการแพ้ ก็อย่ากินยานั้นอีก เพราะการกินยาตัวนั้นอีกครั้งเสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงกว่าเดิมที่อาจลุกลาม และทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิมมาก

ถามแพทย์เรื่องการติดเชื้อแบคทีเรียที่อาจทำให้เกิดผื่น

ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี มีโอกาสที่จะติดเชื้อแบคทีเรียมากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากเซลล์ภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ มักเกิดขึ้นได้บ่อยกับผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคพุพอง รูขุมขนที่หนังศีรษะอักเสบ ฝี เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ จุดฝีเล็กๆ และแผลเปื่อย ควรสอบถามแพทย์เพิ่มเติม

รักษาอาการผื่นด้วยตัวเอง

ใช้ยาทาที่ผื่น

แพทย์อาจจะสั่งยาทาต้านอาการแพ้ หรือยาที่ช่วยบรรเทาอาการระคายเคือง หรือคัน หรืออาจจะซื้อครีมที่เป็นสารต้านฮิสทามินตามร้านขายยาทั่วไปเพื่อช่วยบรรเทาอาการก็ได้ ทาครีมตามที่ระบุไว้ที่บรรจุภัณฑ์

การใช้ยาขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดผื่น การใช้ครีมไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) หรือ diphenhydramine (Benadryl) นั้นอาจจะช่วยลดอาการคัน และขนาดของผื่นได้ ผื่นที่รุนแรงกว่านั้นอาจจะต้องใช้ยาที่แพทย์สั่งจ่าย

หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรงหรืออากาศหนาวเกินไป

ทั้งสองอย่างนี้เป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดผื่นเอชไอวี และอาจทำให้ผื่นยิ่งแย่ลงได้ เช่น ถ้าออกไปข้างนอก ให้ทาครีมกันแดดทั่วร่างกายเพื่อปกป้องผิวหนังหรือใส่เสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาว หรืออยู่ในที่ที่อากาศหนาวมากๆ ให้ใส่เสื้อโค้ตและเสื้อผ้าอุ่นๆ เวลาออกไปข้างนอกเพื่อไม่ให้ผิวหนังสัมผัสกับความหนาวเย็นมากเกินไป

อาบน้ำเย็น

น้ำร้อนจะทำให้ผื่นระคายเคือง หลีกเลี่ยงการแช่น้ำหรืออาบน้ำฝักบัวด้วยน้ำร้อน แล้วเปลี่ยนไปแช่น้ำเย็นหรือเช็ดตัวเพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองของผิวแทน  โดย อาจจะอาบน้ำฝักบัว หรือแช่อ่างอาบน้ำในน้ำที่ค่อนข้างอุ่นและใช้การเช็ดแทนการถูตัว และทามอยเจอไรเซอร์ธรรมชาติ เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะพร้าว หรือว่านหางจระเข้ทันที ที่อาบน้ำเสร็จเพื่อช่วยเยียวยาผิวได้

เปลี่ยนมาใช้สบู่อ่อนๆ หรือสบู่สมุนไพร

สบู่ที่มีสารเคมีอาจทำให้ผิวระคายเคืองและทำให้ผิวแห้งและคัน  ควรหาสบู่อ่อนๆ เช่น สบู่เด็ก หรือสบู่สมุนไพร หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีจำพวกปิโตรเลียม ได้แก่ Methyl- Propyl- Butyl- Ethylparaben และ Propylene Glycol เพราะทั้งหมดนี้เป็นวัตถุดิบสังเคราะห์ที่อาจทำให้ผิวหนังระคายเคืองหรือทำให้เกิดอาการแพ้

ใส่เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายนุ่มๆ

เสื้อผ้าที่ทำจากใยสังเคราะห์ หรือใยผ้าที่ไม่ระบายอากาศอาจทำให้คุณเหงื่อออกและทำให้ผิวยิ่งระคายเคืองกว่าเดิม การใส่เสื้อผ้าที่รัดรูปก็อาจทำให้ เสื้อผ้าถูกับผิว และทำให้ผื่นเอชไอวี แย่ลงตามไปด้วย

รับประทานยาต้านไวรัสต่อ

ควรกินยาต้านเอชไอวี ตามที่แพทย์สั่ง เพราะยาจะออกฤทธิ์ได้เต็มประสิทธิภาพ เพราะยาจะช่วยให้ค่า t-cell ดีขึ้น และรักษาอาการอย่างผื่นเอชไอวี ได้ หากคุณไม่แพ้ยาต้านไวรัสเหล่านั้น

อ่านบทความอื่นๆ

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ :

  • วิธีการ สังเกตผื่นที่เกิดจากเชื้อ HIV https://th.wikihow.com/สังเกตผื่นที่เกิดจากเชื้อ-HIV
  • ผื่นเอชไอวีหรือเอดส์เฉียบพลัน https://www.icare-thai.com/article/33/quotquotผื่นเอชไอวีหรือเอดส์เฉียบพลันquotquot

Similar Posts

  • | | |

    ยาเพร็พ (PrEP) ป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อเอชไอวี

    ยาต้านไวรัสเอชไอวีเป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งหรือต้านการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี ช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้สูงสุดถึง 99% หากมีการใช้อย่างถูกวิธี Exposure prophylaxis เป็นยาที่ทานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี เท่านั้น ไม่ได้รวมถึงโรคอื่น โดยก่อนการรับยาต้องมีการประเมินความเสี่ยงจากประวัติของคนไข้ว่าตรงตามเงื่อนไขการรับยาหรือไม่ ประกอบกับการตรวจเลือดตามมาตรฐานสากล(คนไข้ที่จะรับยาจะต้องมีผลเอชไอวี เป็นลบ) และยาในกลุ่มนี้ต้องพิจารณาจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น เพื่อให้ร่างกายมีระดับยาที่เพียงพอในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยต้องจะรับประทานยาติดต่อกันทุกวันตลอดช่วงที่ยังมีความเสี่ยงอยู่ และการใช้ยาในลักษณะนี้จะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ โดยผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการตรวจเลือดก่อนเริ่มยาว่าตนไม่มีเชื้อเอชไอวี อยู่ก่อนแล้ว  ใครบ้างที่ควรได้รับยาเพร็พ (PrEP) ยาเพร็พ (PrEP) ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ได้กี่เปอร์เซ็นต์ การใช้ยา PrEP อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง โดยกินต่อเนื่องทุกวันไปอย่างน้อย 7 วันก่อนที่จะมีความเสี่ยง จะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อเอชไอวี จากการมีเพศสัมพันธ์ได้มากกว่า 90 % ส่วนในกรณีของผู้ใช้ยาเสพติดแบบฉีด สามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อลงได้ถึง 70% ดังนั้นถ้าเราอยากจะป้องกันให้ดีที่สุด ก็ควรกิน PrEP และใช้ถุงยางอนามัยด้วย เพราะหากพลาดอย่างใดอย่างหนึ่งไป (เช่น ถุงยางแตก หรือคู่ไม่ยอมใส่ หรือลืมกิน PrEP) ก็มีอีกอย่างที่ช่วยป้องกันเราจากการติดเชื้อเอชไอวีได้ ทำไงถ้าลืมทานยาเพร็พ (PrEP) หากลืมกินยา หรือกินยาไม่ตรงเวลาอย่างต่อเนื่อง สามารถ…

  • ติดเชื้อ HIV ดูแลตัวเองอย่างไร

    การตรวจพบว่าตัวเอง ติดเชื้อ HIV และต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเชื้ออาจเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ติดเชื้ออย่างมาก แต่ด้วยการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่มีสุขภาพดีได้ เพราะการดูแลตนเองเมื่อ ติดเชื้อ HIV เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวม และการจัดการสภาพร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้ นำเสนอเคล็ดลับและกลยุทธ์ที่จำเป็น เพื่อนำทางชีวิตในฐานะบุคคลที่ ติดเชื้อ HIV ตั้งแต่การเข้าสู่กระบวนการรักษาพยาบาลและการทำความเข้าใจตัวเลือกการรักษา ไปจนถึงการใช้พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ การป้องกันการแพร่เชื้อ การจัดการสุขภาพจิตและอารมณ์ที่ดี ตลอดจนการเข้าถึงแหล่งข้อมูล การสนับสนุนที่จำเป็นเพื่อช่วยให้ผู้ ติดเชื้อ HIV มีความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นในการดำรงชีวิตและมีความสุขขณะใช้ชีวิตร่วมกับเชื้อเอชไอวีได้ โดยการน้อมรับแนวทางปฏิบัติในการดูแลตนเองและการรับทราบข่าวสารที่เกี่ยวข้อง

  • อะไรคือ เพร็พกับเป๊ป

    เพร็พกับเป๊ป นั้นมีความแตกต่างกันในแง่ของสถานการณ์การใช้งาน ยาเพร็พ (PrEP) หรือภาษาอังกฤษที่ว่า Pre-Exposure Prophylaxis คือ ยาที่ใช้รับประทานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนที่จะมีความเสี่ยง เรียกง่ายๆ ว่าเป็นยาที่ทานก่อนมีเซ็กส์นั่นเอง ส่วนยาเป๊ป (PEP) ภาษาอังกฤษเรียกว่า Post-Exposure Prophylaxis คือ ยาที่ใช้รับประทาน เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังมีความเสี่ยง หรือทานในกรณีฉุกเฉินไม่เกินระยะเวลา 72 ชั่วโมง ซึ่งตัวยาทั้งสองนี้ช่วยให้คนที่มีความเสี่ยงสูง ในการติดเชื้อเอชไอวี ได้รับการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย เพร็พกับเป๊ป คืออะไร? คือ ยาชนิดรับประทานที่มีประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ ได้แก่ ยาเพร็พนี้ จะสามารถใช้ได้กับคนที่ยังไม่มีเชื้อเอชไอวีเท่านั้น และควรสวมถุงยางอนามัยควบคู่ไปกับการทานยานี้อย่างเคร่งครัด สิ่งที่ควรรู้ไว้ทั้ง เพร็พกับเป๊ป ไม่อาจป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ในผู้หญิง โรคติดเชื้อแบคทีเรีย และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ การสวมถุงยางอนามัยจึงมีความจำเป็นอย่างมาก จำไว้ว่ายาเพร็พจะมีประสิทธิภาพดี เมื่อรับประทานอย่างต่อเนื่องและถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์ สำหรับผู้ชายควรทานยาก่อนมีความเสี่ยงล่วงหน้า 7 วัน และผู้หญิงควรทานยาก่อนมีความเสี่ยงล่วงหน้า 20 วัน เพื่อให้ตัวยาได้คงอยู่ในกระแสเลือด และทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ ยาเป๊ป PEP (Post-Exposure Prophylaxis)…

  • |

    วิธีการอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีอย่างไรให้ปลอดภัย

    เมื่อคนในบ้านติดเชื้อเอชไอวี เราจะมีวิธีการอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีนั้นให้ปลอดภัยได้อย่าง โดยเฉพาะคนในครอบครัวเดียวกันนั้น ถือเป็นบุคคลสำคัญที่ช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะนอกจากคอยให้กำลังใจแล้ว ยังต้องดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยให้มีพลานามัยสมบูรณ์ และสร้างสิ่งแวดล้อมบริเวณที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ในปัจจุบันจำนวนผู้ติดเชื้อ เอชไอวี ยังคงมีมาก และพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในทุกๆ วัน แต่ยังคงไม่มีตัวยา ที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มีเพียงยาต้านไวรัสเอชไอวี ที่ช่วยให้ผู้ติดเชื้อไม่มีอาการแย่ลง และสามารถใช้ชีวิต ได้อย่างปกติทั่วไป  โดยสามารถติดต่อกันได้ 3 ช่องทาง คือ  ทางการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน จากแม่สู่ลูก จากการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เพราะเป็นการส่งต่อเชื้อทางเลือด อะไรก็ตาม ที่สัมผัสกับเลือดก็มีโอกาสเสี่ยง ถ้าหากผิวหนังของเรา สัมผัสกับเลือดผู้ติดเชื้อ ไม่ถือว่าเป็นอันตราย เพราะผิวหนังของเรา สามารถกันเชื้อไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย แต่ถ้าเกิดคุณมีแผลตามผิวหนัง ก็มีโอกาสเสี่ยง การสัมผัสกับเชื้อ จากน้ำลายโดยการจูบ ก็ไม่ได้มีความเสี่ยง ถ้าหากจะเสี่ยง คือ ต้องจูบแบบรับน้ำลายกันต้องมีปริมาณมากเป็นลิตรถึงจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ  ออรัลเซ็กซ์ ส่วนใหญ่จะไม่ติด เว้นแต่ว่าในปากมีแผล มีเลือดออก แบบนี้จะเพิ่มความเสี่ยงในการติด แต่เปอร์เซ็นต์ที่จะติดเชื้อน้อย เตรียมตัวอย่างไรหากต้องอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์ ผู้ที่อาศัยอยู่กับผู้ติดเชื้อเอชไอวีควรเตรียมความพร้อมสำหรับการดูแลผู้ป่วย ดังนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อเอชไอวีในระยะต้น ๆ ที่รับประทานยาเป็นประจำทุกวัน อาจช่วยป้องกันไม่ให้การติดเชื้อลุกลามไปเป็นโรคเอดส์และทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้นานเหมือนคนปกติ…

  • โรคเอดส์ (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome)

    คนส่วนใหญ่มักจะเข้าผิดว่าผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคเอด์ เป็นโรคเดียวกัน จริงๆ แล้วผู้ที่ได้รับเชื้อเชื้อเอชไอวี ระยะแรกจะยังไม่เป็นโรคเอดส์จนผู้ติดเชื้อไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง จนผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ จึงจะเรียกว่า ผู้ป่วยโรคเอดส์ โรคเอดส์คืออะไร? โรคเอดส์ (AIDS หรือ Acquired Immune Deficiency Syndromes) สาเหตุของโรคเอดส์ มาจากการได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี ผ่านทางการรับของเหลว เช่น เลือด น้ำนมแม่ น้ำอสุจิ ของเหลวในช่องคลอด โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะได้รับผ่านจากการมีเพศสัมพันธ์ และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับบุคคลอื่น ทั้งนี้การที่ไวรัสส่งผ่านทางของเหลวทำให้ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี สามารถส่งผ่านเชื้อไวรัสจากแม่ไปยังลูกในครรภ์ หรือผ่านทางน้ำนม ได้เช่นกัน  อาการของโรคเอดส์ อาการโรคเอดส์ระยะเริ่มแรก หรือเรียกระยะเฉียบพลัน ในระยะแรกนี้ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี จะมีอาการไข้ เจ็บคอ ผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งเป็นอาการตอบสนองของร่างกายจากการได้รับเชื้อ อาการท้องเสียของคนเป็นเอดส์ จะมีอาการถ่ายเหลว มีน้ำเยอะมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน หรืออาจมีมูกเลือดปนออกมาด้วยในบางครั้ง อาการท้องเสียมักจะเกิดร่วมกันกับอาการไข้และน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว โรคเอดส์ และการติดเชื้อในกระแสเลือด เกิดการอักเสบ และติดเชื้อในร่างกายและกระจายสู่กระแสเลือด อาจทำให้เกิดภาวะช็อกและอวัยวะภายในล้มเหลวได้ อาการที่บ่งบอกว่าถึงเวลาต้องไปพบแพทย์ เมื่อรู้ตัวว่ามีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี หรือหากน้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ…

  • |

    U=U&ME แคมเปญใหม่เพื่อหยุดตีตราผู้ติดเชื้อ!

    เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 ได้มีการจัดถ่ายภาพที่ Crimson Studio ในกรุงเทพฯ สำหรับแคมเปญที่ชื่อว่า “U=U&ME” ซึ่งดำเนินการโดยมูลนิธิ Love Foundation Thailand แคมเปญนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและเสริมความรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตร่วมกับเอชไอวี โดยมุ่งเน้นการให้ความรู้และการต่อต้านการตีตราผู้ติดเชื้อเอชไอวี