อะไรคือ เพร็พกับเป๊ป

อะไรคือ เพร็พกับเป๊ป

เพร็พกับเป๊ป นั้นมีความแตกต่างกันในแง่ของสถานการณ์การใช้งาน ยาเพร็พ (PrEP) หรือภาษาอังกฤษที่ว่า Pre-Exposure Prophylaxis คือ ยาที่ใช้รับประทานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนที่จะมีความเสี่ยง เรียกง่ายๆ ว่าเป็นยาที่ทานก่อนมีเซ็กส์นั่นเอง ส่วนยาเป๊ป (PEP) ภาษาอังกฤษเรียกว่า Post-Exposure Prophylaxis คือ ยาที่ใช้รับประทาน เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังมีความเสี่ยง หรือทานในกรณีฉุกเฉินไม่เกินระยะเวลา 72 ชั่วโมง ซึ่งตัวยาทั้งสองนี้ช่วยให้คนที่มีความเสี่ยงสูง ในการติดเชื้อเอชไอวี ได้รับการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย

เพร็พกับเป๊ป คืออะไร?

คือ ยาชนิดรับประทานที่มีประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ ได้แก่

  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน
  • ใส่ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์แต่เกิดการแตกรั่ว
  • มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่มีผลเลือดบวก

ยาเพร็พ PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis)

คือ การใช้ยาเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ก่อน ที่จะมีความเสี่ยง ซึ่งมีตัวยาสำคัญใน 1 เม็ดประกอบไปด้วย Emtricitabine (FTC) ขนาด 200 มิลลิกรัม และ Tenofovir (TDF) ขนาด 300 มิลลิกรัม หลังจากที่คุณใช้เพร็พแล้ว ตัวยาจะออกฤทธิ์ ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี โดยต้องทานยานี้เป็นประจำทุกวัน ในเวลาเดียวกัน เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพอย่างเต็มที่

ใครบ้างที่ควรใช้ยาเพร็พ?

ผู้ที่ควรพิจารณาใช้ยาเพร็พ (PrEP) คือ ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อเอชไอวี เช่น

  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย
  • ผู้ที่มีคู่นอนติดเชื้อเอชไอวี หรือมีผลเลือดบวก
  • ผู้ที่มีประวัติเคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในอดีต
  • ผู้ที่มีการใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
  • ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายผ่านทางทวารหนักโดยไม่สวมถุงยางอนามัย

ยาเพร็พนี้ จะสามารถใช้ได้กับคนที่ยังไม่มีเชื้อเอชไอวีเท่านั้น และควรสวมถุงยางอนามัยควบคู่ไปกับการทานยานี้อย่างเคร่งครัด สิ่งที่ควรรู้ไว้ทั้ง เพร็พกับเป๊ป ไม่อาจป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ในผู้หญิง โรคติดเชื้อแบคทีเรีย และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ การสวมถุงยางอนามัยจึงมีความจำเป็นอย่างมาก

จำไว้ว่ายาเพร็พจะมีประสิทธิภาพดี เมื่อรับประทานอย่างต่อเนื่องและถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์ สำหรับผู้ชายควรทานยาก่อนมีความเสี่ยงล่วงหน้า 7 วัน และผู้หญิงควรทานยาก่อนมีความเสี่ยงล่วงหน้า 20 วัน เพื่อให้ตัวยาได้คงอยู่ในกระแสเลือด และทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อทานยาเพร็พ

การใช้ยาเพร็พอาจส่งผลข้างเคียงได้บ้าง ซึ่งเป็นอาการที่ไม่รุนแรง โดยพบบ่อย คือ

  • คลื่นไส้ ท้องเสีย น้ำหนักลดลง
  • ปวดศีรษะ และเวียนศีรษะ
  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย นอนไม่ค่อยหลับ
  • มีผื่นขึ้นตามร่างกาย

สำหรับผู้ที่มีประวัติเคยแพ้ยา หรือเคยมีปัญหาต่อเนื่องจากการใช้ทานยาเพร็พ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเริ่มใช้ และควรให้ข้อมูลตามจริงเกี่ยวกับประวัติการแพ้ยา หรือโรคประจำตัวอื่นๆ ที่เคยเป็นมาก่อน เพื่อป้องกันอาการแพ้ยาหรือผลข้างเคียงที่รุนแรง นอกจากนี้ การทานยาเพร็พ ยังต้องมีการติดตามผล และเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อยืนยันผลว่าคุณปลอดจากเชื้ออยู่ตลอดระยะเวลาที่ทานยา

ยาเป๊ป PEP (Post-Exposure Prophylaxis)

คือ การใช้ยาเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี หลัง มีความเสี่ยง ซึ่งมีสูตรยาที่หลากหลายทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับแพทย์ผู้จ่ายยาว่าจะพิจารณาเลือกยาเป๊ปสูตรไหนให้คุณรับประทาน โดยจะต้องทานยาชนิดนี้หลังมีความเสี่ยงใน 72 ชั่วโมงและทานต่อเนื่อง เป็นการรักษาจำนวน 28 วันหรือตามแพทย์สั่ง

ใครบ้างที่ควรใช้ยาเป๊ป?

ผู้ที่ควรพิจารณาใช้ยาเป๊ป (PEP) คือ ผู้ที่มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีจาก:

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
  • การใช้เข็มฉีดยาเสพสารเสพติดร่วมกับผู้อื่น
  • การถูกล่วงละเมิดทางเพศ ข่มขืน หรือมีเพศสัมพันธ์ขาดสติ
  • การถูกเครื่องมือแพทย์ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีทิ่มตำหรือบาดมือ
  • สวมถุงยางอนามัยและเกิดการฉีกขาด หรือหลุดรั่ว ขณะมีเพศสัมพันธ์

อย่างไรก็ตาม ยาเป๊ปไม่เหมาะกับการใช้เป็นวิธีการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในระยะยาว การใช้ยาเป๊ปเองก็ไม่ได้รับการรับรองว่า จะสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้ 100% ดังนั้น การป้องกันตัวเองที่ถูกต้องไว้ก่อนแก้ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า หลังจากเริ่มรับประทานยาเป๊ปแล้ว ห้ามหยุดยาก่อนกำหนดโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะมีผลข้างเคียงหรือไม่ก็ตาม และควรกลับไปตรวจเอชไอวีอย่างน้อย 3 ครั้ง ในระยะเวลา 6 เดือน หลังจากทานยาเป๊ป เพื่อตรวจสอบว่ามีการติดเชื้อหรือไม่

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อทานยาเป๊ป

เป็นไปได้ว่ายาเป๊ป (PEP) อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ แต่ไม่ใช่กับทุกคนที่ใช้ยานี้ โดยผลข้างเคียงเหล่านี้จะไม่รุนแร และสามารถหายไปเองภายในไม่กี่วัน หลังจากเริ่มใช้ยาเป๊ป ได้แก่

  • ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ
  • มีอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย
  • รู้สึกอ่อนเพลีย น้ำหนักตัวลด เบื่ออาหาร

แต่หากผู้ใช้ยาเป๊ปมีอาการผิดปกติที่รุนแรงขึ้น เช่น มีผื่นขึ้น ปัสสาวะบ่อยหรือมีเลือดออก ควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจและการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากอาการเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณของอาการแพ้ยา หรือภาวะตับเสื่อม ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

ใช้ยาเป๊ปหลังมีความเสี่ยงทุกครั้งได้ไหม?

การที่จะทานยาเป๊ปทุกครั้ง หลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะยาเป๊ปเป็นการรักษาที่มีความเหมาะสมสำหรับผู้ที่เคยเผชิญกับความเสี่ยงทางเพศแล้ว ไม่ใช่วิธีการป้องกันทางเพศที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ทำกิจกรรมทางเพศโดยไม่มีการป้องกันอย่างเคร่งครัด การใช้ยาจำพวกนี้ ควรเน้นความปลอดภัยของสุขภาพเป็นสำคัญและใช้เมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น

รวมไปถึง การใช้ยาเป๊ปควรอยู่ภายใต้คำแนะนำ และการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่เป็นไปได้ และเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด อย่าลืมว่าการใช้ เพร็พกับเป๊ป ไม่ได้รับการรับรองว่าจะป้องกันโรคได้ 100% ดังนั้น การใช้มีความจำเป็นต้องคำนึงถึงความเสี่ยง และเป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์

อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

รักษาซิฟิลิส ไม่ต่อเนื่อง เสี่ยงอันตราย

รักษาหูดข้าวสุก ด้วยตัวเอง ทำได้หรือไม่

ถึงแม้ว่า เพร็พกับเป๊ป จะใช้ป้องกันเชื้อเอชไอวี เรียกว่าเป็นยารักษาที่ใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูงได้ ยาทั้งสองชนิดมีประสิทธิภาพสูงได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในการป้องกัน อีกทั้งยังเพิ่มความมั่นใจให้กับคนที่มีความเสี่ยง และช่วยลดความวิตกกังวล แต่อย่างที่เน้นย้ำไปข้างต้นว่า เพร็พกับเป๊ป ยังไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น เริม หนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส เป็นต้น คุณจึงควรให้ความสำคัญกับการป้องกันด้วยถุงยางอนามัยและหมั่นไป ตรวจคัดกรองเชื้อเอชไอวี เป็นประจำทุกปีครับ

Similar Posts

  • | |

    มีเพศสัมพันธ์อย่างไรให้ปลอดภัย

    เรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องใหญ่ และสำคัญของทุกคน การป้องกันก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน การมีเซ็กส์ยังไงให้ปลอดภัย เพื่อการป้องกัน และลดความเสี่ยงการติดต่อของโรคทางเพศสัมพันธ์ Safe Sex คืออะไร  คือ การมีเซ็กซ์ หรือเพศสัมพันธ์กันอย่างปลอดภัย ซึ่งคนส่วนใหญ่คิดว่ามีเพียงแค่การใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ แต่ความจริงแล้วการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยมีมากกว่านั้น อย่างเช่น การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง หรือที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่าการช่วยตัวเอง ซึ่งวิธีอย่างหนึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ร้ายแรง หรือน่ารังเกียจ ทำไมต้อง Safe Sex?  การ Safe Sex หรือการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยนั้น เพื่อเป็นการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่าง ๆ เช่น การติดเชื้อเอชไอวี, โรคเอดส์, ซิฟิลิส, หนองใน ฯลฯ หรือช่วยในการคุมกำเนิด ตั้งท้องในขณะที่ยังไม่พร้อม  การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยเป็นไปได้หรือไม่  เป็นไปได้ หากเรามีความรู้ และการเข้าใจในการมีเซ็กซ์ หรือเพศสัมพันธ์ อย่างถูกต้อง ทำให้เรามีเซ็กส์อย่างปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ Safe Sex มีแบบไหนบ้าง? แบบที่ 1 ก่อนที่จะมี Sex กับใครได้โปรดตรวจเลือดเพื่อความชัวร์!  แม้ว่าเราจะมั่นใจในตัวเอง…

  • | | |

    โรคติดเชื้อฉวยโอกาส ที่พบได้มากในผู้ติดเชื้อเอชไอวี

    โรคติดเชื้อฉวยโอกาส หรือภาวะแทรกซ้อน คือ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยโรคเอดส์ จะมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาส หรืออาการภาวะแทรกซ้อนระยะเริ่มต้น คือ ผิวหนังเป็นเริม งูสวัสดิ์ ฝี เชื้อรา ผื่น กลากเกลื้อน แผลเรื้อรัง ลิ้นเป็นฝ้าขาว แบบโรคเชื้อรา เป็นไข้ และไอเรื้อรัง แบบวัณโรคปอด เป็นไข้ ไอ หอบ แบบปอดอักเสบ เป็นไข้ ปวดศีรษะรุนแรง อาเจียน คอแข็ง ก้มไม่ได้ (ก้มยาก) แบบเยื่อหุ้มสมองอักเสบ แขน ขา ชา อ่อนแรง แบบไขสันหลังอักเสบ ซีด มีจุดแดง จ้ำเขียว หรือเลือดออก แบบโรคเลือด ท้องเดินเรื้อรัง แบบมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคติดเชื้อฉวยโอกาส หรือภาวะแทรกซ้อน ที่อาจพบได้ และค่อนข้างเป็นอันตราย ได้แก่ อ่านบทความอื่นๆ อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ : Post Views: 1,064

  • |

    โรคเอดส์ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ป้องกันได้ รักษาได้

    “โรคเอดส์” หรือ AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นคำที่หลายคนเคยได้ยินมาตั้งแต่อดีต และในบางครั้งยังถูกใช้อย่างคลาดเคลื่อน จนเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคนที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ซึ่งเป็นไวรัสต้นเหตุของโรคเอดส์อย่างแท้จริง บางคนเข้าใจว่า HIV และเอดส์คือสิ่งเดียวกัน หรือเข้าใจว่าเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาได้และต้องเสียชีวิตในเวลาอันสั้น แต่ในความเป็นจริง ปัจจุบันความรู้ทางการแพทย์ได้พัฒนาไปไกลมาก บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจโรคเอดส์ อย่างถูกต้อง แยกให้ออกระหว่างการติดเชื้อ HIV กับการเป็นเอดส์ พร้อมทั้งพูดถึงวิธีการป้องกัน การรักษา และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพของผู้ที่ติดเชื้อ HIV ในปัจจุบัน HIV และเอดส์ ต่างกันอย่างไร ? HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือไวรัสที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะไปทำลายระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 หากไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนเข้าสู่ระยะของโรคเอดส์ AIDS หรือ “โรคเอดส์” เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV ซึ่งภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอจนร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคฉวยโอกาสอื่น ๆ ได้ เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ…

  • | | | |

    15 เรื่องที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์

    ถึงแม้ว่าโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจะมีมานานมากแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังมีความรู้ความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี ทำให้ปัจจุบันต้องมีการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี หรือการเผยแพร่ความรู้ใหม่ ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง เอชไอวี คืออะไร เชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus) คือ ไวรัสที่จะเข้าไปกัดกินทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคเอดส์ คืออะไร เอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome – AIDS) คือ กลุ่มอาการของการติดเชื้อโรคแทรกซ้อนต่างๆ เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่งกายถูกเชื้อเอชไอวีทำลายจนไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายเหล่านี้ได้ สาเหตุการติดเชื้อเอชไอวี สามารถติดเชื้อเอชไอวีโดยการสัมผัสกับเลือด น้ำอสุจิ ของเหลวจากช่องคลอด หรือแม้แต่น้ำนมแม่ สาเหตุการแพร่เชื้อส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือส่งผ่านจากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์ เรื่องที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์ 1. โรคเอดส์ กับ เชื้อเอชไอวี เป็นคนละตัวกัน HIV คือ เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง  ส่วนโรคเอดส์ คือ โรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นหลังภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เชื้อเอชไอวีทำลาย 2. โรคเอดส์ ยังมีโอกาสรอดชีวิต…

  • | | | |

    การทำความเข้าใจกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่เป็นกลุ่ม U=U

    เมื่อเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าไปสู่ร่างกาย จะเข้าทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้ามาสู่ร่างกาย จึงทำให้ผู้ป่วยมีระบบภูมิคุ้มกันที่ต่ำลงจนในที่สุด ร่างกายของผู้ป่วย ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้าไปสู่ร่างกายได้ และอาจเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสได้ เช่น วัณโรค เชื้อรา ปอดบวม เป็นต้น โดยส่วนมากผู้ป่วยจะมีปริมาณของไวรัส ในเลือดมากกว่า 200-1,000 ตัว ต่อซีซีของเลือด แต่ะเมื่อได้เข้ารับการรักษา ทำให้มีปริมาณของเชื้อไวรัส ในเลือดต่ำกว่า 50 ตัวต่อซีซีของเลือด โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว เราจะเรียกกันว่า ตรวจไม่เจอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เชื้อที่อยู่ภายในร่างกายได้หมดไปแล้ว เพียงแต่ จะมีปริมาณที่เหลือน้อยมาก ๆ จนทำให้ตรวจไม่เจอ U=U คืออะไร U = U หรือ Undetectable = Untransmittable  หรือ ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่ U ตัวแรกคือ Undetectable หมายถึง ตรวจไม่เจอเชื้อ และ U…

  • ยา เพร็พ (PrEP) คืออะไร ? คู่มือสุขภาพป้องกัน HIV

    ในยุคปัจจุบันที่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังคงเป็นปัญหาสำคัญต่อสังคม การป้องกันล่วงหน้าเป็นหนึ่งในแนวทางที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด ยา เพร็พ (PrEP) จึงถูกพัฒนาและนำมาใช้ในวงการสาธารณสุขทั่วโลก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV ในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับยาเพร็พอย่างละเอียด ตั้งแต่วิธีการใช้ ประโยชน์ ผลข้างเคียง ตลอดจนการเข้าถึงบริการในประเทศไทย เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและดูแลสุขภาพได้อย่างมืออาชีพ ความหมายและความสำคัญของ ยาเพร็พ ยาเพร็พ (PrEP) ย่อมาจาก Pre-Exposure Prophylaxis คือแนวทางป้องกันการติดเชื้อ HIV ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยใช้ยาต้านไวรัสที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถลดโอกาสการติดเชื้อ HIV ได้อย่างมีนัยสำคัญ ยาเพร็พจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่องค์การอนามัยโลก (WHO) และหน่วยงานด้านสุขภาพทั่วโลกแนะนำให้ใช้ในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมทั้งเสริมสร้างความมั่นใจในการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ยา เพร็พ ต่างจาก ยาต้านไวรัส อย่างไร ? ยาเพร็พ (PrEP: Pre-Exposure Prophylaxis) คือ ยาที่ใช้สำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ HIV โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือคู่รักที่อีกฝ่ายติดเชื้อ โดยรับประทานยาเพร็พอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยสร้างเกราะป้องกันในร่างกาย ทำให้ไวรัสไม่สามารถฝังตัวและเพิ่มจำนวนได้ หากได้รับเชื้อโดยไม่ตั้งใจ จึงช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้สูงเกือบ 100%…