ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน หาซื้อได้ที่ไหน คลินิก โรงพยาบาล และบริการใกล้คุณ

ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน หาซื้อได้ที่ไหน? คลินิก โรงพยาบาล และบริการใกล้คุณ

การป้องกันเอชไอวีถือเป็นหัวใจสำคัญของสุขภาพทางเพศในยุคปัจจุบัน แต่ในบางครั้งสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดก็สามารถเกิดขึ้นได้ เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย ถุงยางฉีกขาดหรือหลุดโดยไม่ทันรู้ตัว การถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือแม้แต่การสัมผัสกับเลือดและเข็มฉีดยาที่อาจปนเปื้อนเชื้อเอชไอวี สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างความกังวลใจให้กับผู้ที่เผชิญเหตุการณ์ทันที คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นว่า “จะทำอย่างไรเพื่อลดความเสี่ยง?” คำตอบที่วงการแพทย์ยืนยันชัดเจนคือการใช้ ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน (Post-Exposure Prophylaxis หรือ PEP) บทความนี้จะเจาะลึกข้อมูลที่คุณควรรู้เกี่ยวกับยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน ตั้งแต่หลักการทำงาน เหตุผลที่ไม่สามารถซื้อได้ทั่วไป สถานที่ที่สามารถเข้ารับยา ขั้นตอนการเข้ารับบริการ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าหากเผชิญกับความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด จะสามารถปกป้องตัวเองได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องตามหลักการแพทย์

ความสำคัญของยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน

ยาต้านเอดส์ ฉุกเฉิน หรือที่เรียกกันว่า PEP (Post-Exposure Prophylaxis) เป็นยาที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังจากที่บุคคลหนึ่งได้รับความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน การใช้ถุงยางอนามัยที่แตกหรือหลุด การถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือแม้กระทั่งการสัมผัสกับเลือดหรือของมีคมที่ปนเปื้อนเชื้อ ยาชนิดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในสถานการณ์เร่งด่วนที่ไม่สามารถรอได้ เพราะเวลาคือปัจจัยสำคัญที่สุดในการป้องกันเชื้อเอชไอวีไม่ให้เข้าสู่ร่างกายและแพร่กระจาย

ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน คืออะไร ทำงานอย่างไร ?

ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน หรือ PEP คือ การใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีแบบรวมสูตร (antiretroviral therapy: ART) ในช่วงเวลาหลังการสัมผัสความเสี่ยง จุดประสงค์หลักคือเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่เซลล์ของร่างกายและเริ่มกระบวนการเพิ่มจำนวน หากได้รับภายใน 72 ชั่วโมงหลังสัมผัสความเสี่ยง โอกาสในการป้องกันเชื้อจะสูงมาก โดยเฉพาะหากเริ่มยาภายใน 2–24 ชั่วโมงแรก ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งได้ผลดียิ่งขึ้น ยาจะต้องรับประทานต่อเนื่องอย่างน้อย 28 วัน ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด การหยุดยาเองหรือการรับประทานไม่ครบคอร์สอาจทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันลดลง และยังอาจนำไปสู่การดื้อยาในอนาคตได้

ยาต้านเอดส์ฉุกเฉินไม่สามารถหาซื้อทั่วไปได้

ข้อควรรู้ที่สำคัญที่สุดคือ ยาต้านเอดส์ฉุกเฉินไม่สามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายยาทั่วไป หรือผ่านทางแพลตฟอร์มออนไลน์ ยาจะต้องได้รับการจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น เพราะเป็นยาที่ต้องมีขั้นตอนการดูแลผู้ป่วยที่เข้มงวด ตั้งแต่การตรวจเลือด การซักประวัติสุขภาพ ไปจนถึงการนัดติดตามผล หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าหากหาซื้อยามารับประทานเองก็สามารถป้องกันเชื้อได้ แต่ความจริงแล้วการใช้ยาโดยไม่มีการตรวจประเมิน อาจก่อให้เกิดอันตราย ทั้งผลข้างเคียงที่รุนแรง การดื้อยา หรือการใช้ยาไม่ครบตามหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง ดังนั้น การเข้ารับบริการจากแพทย์หรือสถานพยาบาลจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและถูกต้องที่สุด

ขั้นตอนการเข้ารับ ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน

การเข้ารับบริการยาต้านเอดส์ฉุกเฉินมีขั้นตอนที่ชัดเจน เริ่มตั้งแต่การประเมินความเสี่ยงโดยแพทย์ หากมีความเสี่ยงสูง แพทย์จะพิจารณาให้เริ่มยาทันทีภายใน 72 ชั่วโมง พร้อมตรวจเลือดหาเอชไอวีและการติดเชื้ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง หลังจากนั้นผู้เข้ารับบริการต้องรับประทานยาต่อเนื่อง 28 วัน และกลับมาติดตามผลตามนัดหมาย เพื่อประเมินการตอบสนองของร่างกาย รวมถึงตรวจเลือดซ้ำเพื่อยืนยันผลการป้องกันเชื้อในช่วง 1 – 3 เดือนถัดมา

โรงพยาบาลรัฐกับบริการยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน

โรงพยาบาลของรัฐถือเป็นสถานที่หลักในการให้บริการยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน (ER) ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ที่ได้รับความเสี่ยงสามารถไปที่แผนกฉุกเฉินเพื่อเข้ารับการประเมินและขอรับยาได้ทันที ข้อดีของโรงพยาบาลรัฐคือมีค่าใช้จ่ายที่ครอบคลุมสิทธิการรักษาของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิบัตรทอง (บัตร 30 บาท), สิทธิประกันสังคม หรือสิทธิข้าราชการ ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาต้านเอดส์ฉุกเฉินได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายมากนัก

คลินิกเอกชนและการเข้าถึงที่รวดเร็ว

สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ความรวดเร็ว และความสะดวกในการเข้ารับบริการ คลินิกเอกชนก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญ ปัจจุบันมีคลินิกหลายแห่งที่ให้บริการด้านสุขภาพทางเพศและเอชไอวีโดยเฉพาะ พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและระบบการนัดหมายที่ง่ายดาย แม้ว่าค่าใช้จ่ายอาจสูงกว่า แต่ผู้ป่วยจะได้รับบริการที่รวดเร็ว ไม่ต้องรอนาน และมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า จึงตอบโจทย์ผู้ที่ให้ความสำคัญกับความสะดวกและความลับส่วนบุคคล

บริการจากองค์กรพัฒนาเอกชนและคลินิกเฉพาะทาง

ในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต มีองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) และคลินิกเฉพาะทางที่ทำงานด้านเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งเปิดให้บริการตรวจเลือด ให้คำปรึกษา และจ่ายยาต้านเอดส์ฉุกเฉินในกรณีที่มีความเสี่ยงสูง การเข้ารับบริการจากองค์กรเหล่านี้ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงยาได้รวดเร็ว และยังได้รับคำปรึกษาที่ถูกต้อง ครอบคลุมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

การติดตามผลหลังรับ ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน

การใช้ยาต้านเอดส์ฉุกเฉินไม่ใช่เพียงการรับประทานยาแล้วจบ แต่จำเป็นต้องมีการติดตามผลตามนัดหมายของแพทย์ ซึ่งรวมถึงการตรวจเลือดเพื่อยืนยันผลการป้องกัน และการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ที่อาจได้รับร่วมกัน เช่น ซิฟิลิส หนองใน หรือไวรัสตับอักเสบ การติดตามผลเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพราะจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าผู้เข้ารับบริการปลอดภัย ไม่ติดเชื้อ และสามารถวางแผนการดูแลสุขภาพทางเพศในระยะยาวได้อย่างเหมาะสม

ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน รับได้ที่ไหน ?

การเข้าถึงยาต้านเอดส์ฉุกเฉินสามารถทำได้จากหลายช่องทาง ขึ้นอยู่กับพื้นที่และสถานะทางสิทธิการรักษาของผู้เข้ารับบริการ โดยทั่วไปสถานที่ที่สามารถให้บริการ ได้แก่ โรงพยาบาล คลินิกเฉพาะทาง คลินิกโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI Clinic) รวมถึงศูนย์บริการสุขภาพของรัฐและเอกชนที่มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเอชไอวี นอกจากนี้ ในบางพื้นที่ยังมีคลินิกเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านสุขภาพทางเพศซึ่งเปิดให้บริการด้านการให้คำปรึกษาและจ่ายยาต้านเอดส์ฉุกเฉินโดยตรง

สำหรับผู้ที่อยู่ในภาวะเร่งด่วน หนึ่งในตัวช่วยสำคัญในการเข้าถึงยาต้านเอดส์ฉุกเฉินอย่างทันท่วงที คือ Love2test แพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งสามารถค้นหาคลินิกใกล้ตัวได้ ดูข้อมูลบริการที่แต่ละคลินิกมีให้ เช่น การตรวจเอชไอวีฟรี บริการ PrEP และ PEP รวมถึงเวลาเปิดทำการและช่องทางการติดต่อที่ชัดเจน นอกจากนี้ Love2test ยังมีระบบจองคิวออนไลน์ที่ช่วยให้การเข้ารับบริการสะดวกขึ้น ลดเวลารอคอย และมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลทันเวลา

ทำไมไม่ควรหาซื้อยาต้านเอดส์ฉุกเฉินเอง

การพยายามหาซื้อยาต้านเอดส์ฉุกเฉินด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นจากร้านขายยาที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือการสั่งซื้อทางออนไลน์ ถือเป็นความเสี่ยงที่อันตรายอย่างมาก เพราะนอกจากจะไม่สามารถยืนยันได้ว่ายาที่ได้รับเป็นยาจริงหรือไม่ ยังอาจทำให้ได้รับยาที่ไม่มีคุณภาพ หมดอายุ หรือใช้ผิดวิธี ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ยาที่ไม่ผ่านการตรวจสอบของแพทย์อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงต่อร่างกาย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ตับอักเสบ หรือการดื้อยาที่ส่งผลเสียในระยะยาว ดังนั้นผู้ที่ได้รับความเสี่ยงจึงควรเข้ารับบริการอย่างถูกต้องทุกครั้ง

อ่านบทความที่น่าสนใจ

ยาต้านเอดส์ฉุกเฉิน หรือ PEP คือโอกาสสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังจากได้รับความเสี่ยง แต่จะได้ผลดีต่อเมื่อใช้ในเวลาที่เหมาะสม คือภายใน 72 ชั่วโมง ที่สำคัญยาชนิดนี้ไม่สามารถซื้อได้เองจากร้านขายยาหรือออนไลน์ แต่ต้องได้รับการจ่ายโดยแพทย์และสถานพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญ

แหล่งที่มา (References)

  • UNAIDS. (2025). Global HIV & AIDS statistics — Fact sheet. Retrieved from https://www.unaids.org
  • World Health Organization. (2023). Post-exposure prophylaxis (PEP). Retrieved from https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hiv-post-exposure-prophylaxis-(pep)
  • Centers for Disease Control and Prevention. (2023). PEP | HIV Basics. Retrieved from https://www.cdc.gov/hiv/basics/pep.html
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2567). แนวทางการให้บริการยาต้านไวรัสเพื่อการป้องกันก่อนและหลังการสัมผัสเชื้อเอชไอวี (PrEP และ PEP). สืบค้นจาก https://ddc.moph.go.th

Similar Posts

  • Love2Test แพลตฟอร์มสุขภาพทางเพศที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน

    ปัจจุบัน สุขภาพทางเพศเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) และเอชไอวี (HIV) ยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนทั่วโลก แม้ว่าความก้าวหน้าทางการแพทย์จะช่วยให้มีวิธีป้องกันและรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่การเข้าถึงบริการเหล่านี้ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับหลายคน Love2Test จึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนสามารถตรวจหาเอชไอวีและดูแลสุขภาพทางเพศได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และเป็นส่วนตัว บทบาทสำคัญของLove2Test ในการลดการแพร่ระบาดของเอชไอวีในประเทศไทย Love2Testเป็นแพลตฟอร์มนวัตกรรมที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันและลดการแพร่ระบาดของเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ชุดตรวจมาตรฐาน และแนวทางป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ทุกคนสามารถดูแลสุขภาพทางเพศของตนเองได้โดยไม่ต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนหรือมีไลฟ์สไตล์แบบใด Love2Testพร้อมเป็นผู้ช่วยที่เชื่อถือได้ในการดูแลสุขภาพทางเพศของคุณ Love2Test คืออะไร? Love2Testเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่พัฒนาโดย มูลนิธิเพื่อรัก (Love Foundation) ภายใต้การนำของ คุณ ปัญญาพล พิพัฒน์คุณอานนท์ โดยมุ่งเน้นให้บริการด้านสุขภาพทางเพศแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น แพลตฟอร์มนี้ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย เป็นส่วนตัว และปลอดภัย ช่วยให้ทุกคนสามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างสะดวก ความสำคัญของการตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ การตรวจหาเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกัน และควบคุมการแพร่ระบาดของโรค การตรวจพบเชื้อในระยะแรกช่วยให้สามารถเริ่มต้นการรักษาได้เร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยลดโอกาสในการแพร่เชื้อและช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีสุขภาพที่ดี ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง การใช้ ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ขณะที่…

  • ติดเชื้อ HIV ดูแลตัวเองอย่างไร

    การตรวจพบว่าตัวเอง ติดเชื้อ HIV และต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเชื้ออาจเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ติดเชื้ออย่างมาก แต่ด้วยการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่มีสุขภาพดีได้ เพราะการดูแลตนเองเมื่อ ติดเชื้อ HIV เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวม และการจัดการสภาพร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้ นำเสนอเคล็ดลับและกลยุทธ์ที่จำเป็น เพื่อนำทางชีวิตในฐานะบุคคลที่ ติดเชื้อ HIV ตั้งแต่การเข้าสู่กระบวนการรักษาพยาบาลและการทำความเข้าใจตัวเลือกการรักษา ไปจนถึงการใช้พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ การป้องกันการแพร่เชื้อ การจัดการสุขภาพจิตและอารมณ์ที่ดี ตลอดจนการเข้าถึงแหล่งข้อมูล การสนับสนุนที่จำเป็นเพื่อช่วยให้ผู้ ติดเชื้อ HIV มีความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นในการดำรงชีวิตและมีความสุขขณะใช้ชีวิตร่วมกับเชื้อเอชไอวีได้ โดยการน้อมรับแนวทางปฏิบัติในการดูแลตนเองและการรับทราบข่าวสารที่เกี่ยวข้อง

  • | | | |

    Untransmittable ความสำคัญที่เปลี่ยนแปลงชีวิตและสังคม

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “Untransmittable” ที่มาพร้อมแนวคิด “ตรวจไม่เจอ = ไม่แพร่เชื้อ” (U=U) ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแพทย์และสังคมทั่วโลก แนวคิดนี้ไม่เพียงแค่ช่วยปรับปรุงชีวิตของผู้ติดเชื้อ HIV แต่ยังเปลี่ยนแปลงทัศนคติและการยอมรับในสังคมต่อผู้ที่มีเชื้อ HIV ด้วย

  • อะไรคือ เพร็พกับเป๊ป

    เพร็พกับเป๊ป นั้นมีความแตกต่างกันในแง่ของสถานการณ์การใช้งาน ยาเพร็พ (PrEP) หรือภาษาอังกฤษที่ว่า Pre-Exposure Prophylaxis คือ ยาที่ใช้รับประทานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนที่จะมีความเสี่ยง เรียกง่ายๆ ว่าเป็นยาที่ทานก่อนมีเซ็กส์นั่นเอง ส่วนยาเป๊ป (PEP) ภาษาอังกฤษเรียกว่า Post-Exposure Prophylaxis คือ ยาที่ใช้รับประทาน เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังมีความเสี่ยง หรือทานในกรณีฉุกเฉินไม่เกินระยะเวลา 72 ชั่วโมง ซึ่งตัวยาทั้งสองนี้ช่วยให้คนที่มีความเสี่ยงสูง ในการติดเชื้อเอชไอวี ได้รับการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย เพร็พกับเป๊ป คืออะไร? คือ ยาชนิดรับประทานที่มีประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ ได้แก่ ยาเพร็พ PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) คือ การใช้ยาเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ก่อน ที่จะมีความเสี่ยง ซึ่งมีตัวยาสำคัญใน 1 เม็ดประกอบไปด้วย Emtricitabine (FTC) ขนาด 200 มิลลิกรัม และ Tenofovir (TDF) ขนาด 300 มิลลิกรัม หลังจากที่คุณใช้เพร็พแล้ว…

  • | | |

    ทำความเข้าใจก่อนใช้ยาเพร็พ และยาเป๊ป

    สิ่งสำคัญของยาต้านไวรัสเอชไอวีคือ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี ทั้งก่อนและหลังการสัมผัสเชื้อ หากพูดถึงวิธีป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี คนส่วนใหญ่จะนึกถึงการสวมถุงยางอนามัย ซึ่งเป็นวิธีป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อที่ปลอดภัย และลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากใช้ร่วมกับยาต้านไวรัสเอชไอวี ก็อาจช่วยลดความเสี่ยงได้มากขึ้น แต่ต้องใช้อย่างถูกต้อง ซึ่งโดยคนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยาต้านเอชไอวี PrEP และPEP  ว่าทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีอย่างไร เราจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี PrEP และ PEP คืออะไร? เพร็พ (PrEP-Pre-Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสเอชไอวี ที่ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีสำหรับผู้ที่มีผลเลือดเป็นลบ หรือเป็นการใช้ยาเพื่อเตรียมตัวไว้ก่อนจะมีโอกาสได้สัมผัสเชื้อ เป๊ป (PEP- Post-Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสฉุกเฉิน สำหรับผู้ที่มีผลเลือดเป็นลบที่เพิ่งได้สัมผัสเชื้อมาไม่เกิน 72 ชั่วโมง PrEP & PEP ทำงานอย่างไร? กลไกของยา PrEP จะไปสะสมอยู่ในเม็ดเลือดขาวในเลือดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งอวัยวะที่เป็นช่องทางเข้าของเชื้อเอชไอวี เช่น ช่องคลอด ปากมดลูก ปากทวารหนัก เยื่อบุอวัยวะสืบพันธุ์ชาย ฯลฯ เมื่อเชื้อเอชไอวี เข้าไปในร่างกายในช่องทางดังกล่าว เชื้อก็จะถูกยาที่สะสมอยู่ก่อนหน้านั้นยับยั้งไม่ให้แบ่งตัว…

  • |

    โรคเอดส์ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ป้องกันได้ รักษาได้

    “โรคเอดส์” หรือ AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นคำที่หลายคนเคยได้ยินมาตั้งแต่อดีต และในบางครั้งยังถูกใช้อย่างคลาดเคลื่อน จนเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคนที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ซึ่งเป็นไวรัสต้นเหตุของโรคเอดส์อย่างแท้จริง บางคนเข้าใจว่า HIV และเอดส์คือสิ่งเดียวกัน หรือเข้าใจว่าเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาได้และต้องเสียชีวิตในเวลาอันสั้น แต่ในความเป็นจริง ปัจจุบันความรู้ทางการแพทย์ได้พัฒนาไปไกลมาก บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจโรคเอดส์ อย่างถูกต้อง แยกให้ออกระหว่างการติดเชื้อ HIV กับการเป็นเอดส์ พร้อมทั้งพูดถึงวิธีการป้องกัน การรักษา และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพของผู้ที่ติดเชื้อ HIV ในปัจจุบัน HIV และเอดส์ ต่างกันอย่างไร ? HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือไวรัสที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะไปทำลายระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 หากไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนเข้าสู่ระยะของโรคเอดส์ AIDS หรือ “โรคเอดส์” เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV ซึ่งภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอจนร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคฉวยโอกาสอื่น ๆ ได้ เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ…