PEP
| |

PEP ยาเป็ปกับสิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มทาน

ในด้านของสุขภาพ ความรู้ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียว แต่มักเป็นสิ่งที่เราจะสามารถป้องกันความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ในโลกนี้มีสิ่งที่สำคัญแต่มักถูกมองข้ามไปเช่น PEP คือสิ่งที่มาพร้อมกับการป้องกันในปัญหาสุขภาพระดับโลกที่สำคัญนั่นคือเอชไอวี เป็ป ยังคงเป็นสิ่งที่จะสามารถต่อสู้กับเอชไอวีได้โดยให้การช่วยเหลือสำหรับบุคคลที่อาจได้รับการสัมผัสกับเชื้อไวรัส เป็ป เป็นวิธีการดูแลสุขภาพในช่วงเวลาหลังจากสัมผัสเชื้อเอชไอวีหรือหลังเกิดความเสี่ยง

PEP คือสิ่งที่เปลี่ยนโลกใบนี้

Love2test”></a></div>
<p>เป็ป เป็นการป้องกันเอชไอวีหลังพบความเสี่ยงที่เกิดขึ้น เป็ปเป็นการรักษาป้องกันที่เกี่ยวกับการทานยาต้านไวรัสหลังจากการสัมผัสเชื้อเอชไอวีเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ต้อง<strong>ทานยาเป็ปอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 28 วัน</strong> และควรเริ่มต้นภายใน 72 ชั่วโมงหลังเกิดความเสี่ยง ยิ่งเริ่มเร็วประสิทธิภาพในการป้องกันยิ่งมากขึ้น </p>



<h2 class=การทำงานของเป็ป

กลไกการทำงานของเป็ป ทำให้การสร้างเชื้อไวรัสเอชไอวีถูกทำลาย เป็ป เป็นตัวแทรกแทรงขั้นตอนต่างๆของวงจรชีวิตของเชื้อไวรัส ทำให้ยุติการสร้างเชื้อไวรัสในร่างกาย เป็ป จะป้องกันเชื้อไวรัส เอชไอวี ที่เข้าสู่เซลล์ของร่างกายและการคัดกรองหรือยับยั้งการคัดลอกตัวของเชื้อไวรัสในระหว่างกระบวนการเข้าสู่ร่างกายของเชื้อ การทำงานของ เป็ป ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยมุ่งเน้นให้เชื้อไม่สามารถเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ในร่างกายได้ หากใช้ให้ถูกต้อง เป็ป จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส เอชไอวี อย่างมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย

PEP

สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนเริ่มทาน PEP

ระยะเวลาในการเริ่มทาน PEP

ระยะเวลามีความสำคัญอย่างมากเมื่อเกี่ยวข้องกับ เป็ป การเริ่มทานยาให้เร็วที่สุดหลังจากการสัมผัสเชื้อสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ ความล่าช้าในการทานยาหรือขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ที่ล่าช้าสามารถทำให้ประสิทธิภาพของ เป็ป ลดลง

การประเมินปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้น

เป็ปเป็นยาที่แนะนำให้ใช้ในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี เช่น

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน
  • การใช้เข็มร่วมกันกับผู้ที่ทราบว่าติดเชื้อเอชไอวี
  • การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ

ในกรณีนี้เป็นส่วนสำคัญที่จะประเมินระดับความเสี่ยงอย่างรอบคอบและพูดคุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อกำหนดว่าเป็ปมีความจำเป็นในกรณีนี้หรือไม่

“ChatLove2test"

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

เช่นเดียวกับยาอื่น ๆ เป็ป อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ตั้งแต่อาการเจ็บท้องเล็กน้อยจนถึงอาการรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นหากพบอาการที่เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ ยาเป็ป ควรมาพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

การทานยาอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ

การรับประทาน เป็ป อย่างสม่ำเสมอคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับประสิทธิภาพของเป็ป การขาดยาหรือหยุดใช้ยาก่อนกำหนดอาจเสี่ยงต่อความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี

“PrEPLove2test"

จำเป็นต้องตรวจเอชไอวีเป็นประจำ

จะต้องมีการตรวจและติดตามอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินการตอบสนองต่อการรักษา ตรวจสอบการเกิดผลข้างเคียงที่เป็นไปได้ และให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง แพทย์จะทำการนัดหมายติดตามเพื่อประเมินประสิทธิภาพของ เป็ป และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาหรือความกังวลที่อาจเกิดขึ้น

การติดตามผลการรักษา

หากสิ้นสุดการรับประทานยา เป็ป ก็ยังคงต้องตรวจเอชไอวีและการดูแลเพิ่มเติมต่อไป ผู้ที่ได้รับ เป็ป ควรมารับการตรวจเอชไอวี ในระยะเวลาที่กำหนดหลังจากการรักษาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการติดเชื้อ นอกจากนี้ยังควรมีการติดตามผลเพื่อตรวจสอบผลกระทบที่เป็นไปได้หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในระยะยาวสำหรับการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

ผลข้างเคียงของการใช้เป็ป

ผลข้างเคียงของการใช้ เป็ป สามารถแตกต่างไปตามยาที่รับรายการและปัจจัยของบุคคลแต่ละคน ต่อไปนี้คือผลข้างเคียงที่พบบ่อยของการรับเป็ป

  • คลื่นไส้และอาเจียน
  • เหนื่อยล้า
  • ปวดหัว
  • ท้องเสีย
  • ผื่นหนัง
  • เปลี่ยนแปลงในการรับประทานอาหาร
  • ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อ
  • การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์

ควรทราบว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีผลข้างเคียงเหล่านี้ และบางคนอาจไม่มีผลข้างเคียงเกิดขึ้นเลย อีกทั้ง ประโยชน์ของ เป็ปในการป้องกันการแพร่ระบาดของ เอชไอวี จะมีความสำคัญมากกว่าความเสี่ยงของผลข้างเคียง หากคุณมีอาการข้างเคียงที่เป็นปัญหาหรือเป็นอย่างต่อเนื่องขณะรับ เป็ป ควรติดต่อแพทย์เพื่อขอคำแนะนำต่อไป

PEP

ประสิทธิภาพของ PEP

สามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อเอชไอวีได้เมื่อเริ่มใช้โดยทันทีหลังจากการสัมผัสเชื้อ การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการให้ เป็ป ทันทีหลังจากการสัมผัสสามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อเอชไอวี ได้ถึง 80% ประสิทธิภาพของ เป็ป ขึ้นอยู่ระยะเวลาในการทาน เป็ปจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อเริ่มต้นใช้โดยทันทีหลังจากการสัมผัสเชื้อ โดยที่ต้องเริ่มต้นภายหลังจากการสัมผัส ไม่นานเกิน 72 ชั่วโมง ความล่าช้าในการทานยาครั้งแรกอาจทำให้เพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น

เป็ป จะต้องทานต่อเนื่องเป็นเวลา 28 วัน การทำความเข้าใจเกี่ยวกับระยะเวลาการทานยาเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี เป็ป จะลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ HIV ได้อย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ป้องกันได้ 100% ดังนั้นควรปฏิบัติตามวิธีที่ปลอดภัยขึ้นเพิ่มเติม เช่น การใช้ถุงยางอนามัย จะทำให้ป้องกันได้มากขึ้น

ข้อพึงระวัง

ข้อควรระวัง เป็ปสามารถป้องกันเอชไอวีมากกว่า 80 % ได้จริงหากทานยาอย่างถูกต้องและหมั่นตรวจเอชไอวีอย่าสม่ำเสมอแต่เป็ปไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆได้ดังนั้น การใช้ถุงยางอนามัย จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปฎิบัติเพราะถุงยางอนามัยสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้และสามารถป้องกันเอชไอวีได้ หากใช้ควบคู่ไปกับการทาน เป็ป ยิ่งทวีคูณความปลอดภัยเพิ่มขึ้นหายห่วงเรื่องเพศและสร้างความมั่นใจให้กับคู่ของตนเอง

“ถึงแม้ว่า เป็ป จะป้องกันเอชไอวีได้ แต่ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆได้ ดังนั้นถุงยางอนามัยเป็นตัวเลือกที่มาควบคู่กับเป็ปได้ดี”

ปัจจัยสำคัญของ เป็ป ก่อนที่จะเริ่มการรักษาเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง โดยการพิจารณาปัจจัยเช่นเกณฑ์ความเหมาะสม ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น การปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การปฏิบัติตามระเบียบการรักษาที่กำหนดไว้และความรู้เกี่ยวกับ เป็ป จะสามารถช่วยป้องกันและเพิ่มความปลอดภัยของตนเองในสถานการณ์ที่มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีในที่สุด เป็ป เป็นสิ่งที่สำคัญในการต่อสู้กับ HIV/AIDS ที่สามารถช่วยให้บุคคลสามารถควบคุมสุขภาพทางเพศและลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของเอชไอวี ได้

Similar Posts

  • ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง

    การติดเชื้อเอชไอวีนับว่าเป็นปัญหาระดับโลกที่หน่วยงานระดับสากล ได้ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยมุ่งหวังที่จะลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่สามารถค้นพบวิธีการรักษาให้หายขาดได้ 100% แต่การพัฒนาที่ก้าวล้ำมากที่สุดในตอนนี้ คือการรักษาผู้ป่วยให้สามารถมีชีวิตร่วมกับเชื้อเอชไอวีได้อย่างปกติ และที่ขาดไม่ได้คือการพัฒนาชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ( HIV Self Test) ซึ่งมีส่วนช่วยในการตรวจคัดกรองเอชไอวีเบื้องต้นได้ง่ายดาย อีกทั้งยังเข้าถึงผู้เสี่ยงต่อการติดเชื้อในระดับครัวเรือนอย่างทั่วถึงมากขึ้นด้วยเช่นกัน ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองคืออะไร? ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ( HIV Self Test) คือ ชุดเครื่องมือที่ทางการแพทย์ที่ได้ออกแบบมาอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ที่ต้องการทราบผลเลือดได้สามารถตรวจด้วยตัวเองอย่างสะดวกรวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่านความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี แต่ไม่ต้องการหรือไม่สะดวกในการเข้ารับการตรวจคัดกรองยังสถานพยาบาล เนื่องจากต้องการความเป็นส่วนตัวมากกว่า ซึ่งชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองได้มีการพัฒนาขึ้นโดยมีจุดประสงค์ให้ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงการตรวจเอชไอวีได้ง่ายมากยิ่งขึ้น โดยชุดตรวจที่มีประสิทธิภาพจะต้องได้รับการรับรองจากองค์กรระดับสากลอย่างถูกต้อง ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองดีไหม น่าเชื่อถือหรือไม่?  บทความอื่นๆ : มารู้จักเอดส์ กับระยะของการติดเชื้อ และผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงสังเกตตนเองอย่างไร จองตรวจเอชไอวี ฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่าย : Love2test

  • |

    ความแตกต่างระหว่าง HIV-1 กับ HIV-2

    เชื้อไวรัสเอชไอวี  จัดเป็นไวรัสชนิด RNA ใน subfamily Lentivirinae มีเอนไซม์ที่เป็นลักษณะสำคัญ คือ เอนไซม์รีเวอร์สทรานสคริพเตส (Reverse transcriptase, RT)  สายพันธุ์ของเชื้อไวรัสเอชไอวี การวินิจฉัย ความแตกต่างทางพันธุกรรมระหว่าง HIV-1 และ HIV-2 หมายความว่า หากบุคคลทำการทดสอบ HIV-1 อาจตรวจไม่พบ HIV-2 สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV-2 มากขึ้น ผู้ให้บริการด้านการแพทย์อาจตรวจหาแอนติบอดีหรือแอนติเจนของ HIV-2 การรักษา ในการรักษาเอชไอวีผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพมักจะสั่งยาหลายชนิดที่เรียกว่าการรักษาด้วยยาต้านไวรัส การรับประทานยาเหล่านี้ทุกวันตามคำสั่งแพทย์ สามารถช่วยชะลอการลุกลามของเอชไอวีป้องกันการแพร่เชื้อและช่วยปกป้องระบบภูมิคุ้มกัน การบริการด้านการดูแลสุขภาพอาจกำหนดชุดยาที่แตกต่างกัน แต่ก็ยังติดตามความคืบหน้าของผู้ติดเชื้อในลักษณะเดียวกัน ซึ่งรวมถึงการตรวจปริมาณไวรั สและจำนวนเซลล์ CD4  ปริมาณไวรัส ผู้ที่ติดเชื้อ HIV-2 มักจะมีปริมาณไวรัสน้อยลง หรือมีไวรัสอยู่ในเลือดมากกว่าผู้ที่ติดเชื้อ HIV-1 เมื่อรวมกับจำนวนเซลล์ CD4 ซึ่งเป็นวิธีการระบุว่าระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงเพียงใดปริมาณไวรัส จะเป็นตัวบ่งบอกให้แพทย์ที่ทำการรักษาของผู้ติดเชื้อ ว่ายาต้านไวรัสเอชไอวีนั้นได้ผลดีเพียงใดต่อการรักษาผู้ติดเชื้อ อ่านบทความอื่นๆ อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ : Post Views: 1,368

  • |

    โรคเอดส์ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ป้องกันได้ รักษาได้

    “โรคเอดส์” หรือ AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นคำที่หลายคนเคยได้ยินมาตั้งแต่อดีต และในบางครั้งยังถูกใช้อย่างคลาดเคลื่อน จนเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคนที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ซึ่งเป็นไวรัสต้นเหตุของโรคเอดส์อย่างแท้จริง บางคนเข้าใจว่า HIV และเอดส์คือสิ่งเดียวกัน หรือเข้าใจว่าเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาได้และต้องเสียชีวิตในเวลาอันสั้น แต่ในความเป็นจริง ปัจจุบันความรู้ทางการแพทย์ได้พัฒนาไปไกลมาก บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจโรคเอดส์ อย่างถูกต้อง แยกให้ออกระหว่างการติดเชื้อ HIV กับการเป็นเอดส์ พร้อมทั้งพูดถึงวิธีการป้องกัน การรักษา และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพของผู้ที่ติดเชื้อ HIV ในปัจจุบัน HIV และเอดส์ ต่างกันอย่างไร ? อาการเหล่านี้มักไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน และมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล การตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัย HIV จึงเป็นวิธีที่แน่นอนที่สุด การวินิจฉัยและตรวจหา HIV การตรวจ HIV ในปัจจุบันสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว ทั้งในโรงพยาบาล คลินิกเวชกรรม หรือคลินิกชุมชนที่ให้บริการโดยไม่เปิดเผยชื่อ นอกจากนี้ยังมีชุดตรวจ HIV ด้วยตนเองที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาที่ได้รับอนุญาต การตรวจควรทำภายหลังมีพฤติกรรมเสี่ยงอย่างน้อย 2 – 4 สัปดาห์ และอาจต้องตรวจซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์ หากพบว่าติดเชื้อ…

  • | | | | |

    Undetectable แล้วไม่ป้องกันได้ไหม ปลอดภัยจริงไหม?

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิด หรือ “U=U” ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแพทย์และสาธารณสุข โดยคำว่า “Undetectable” หมายถึงการที่ปริมาณไวรัส HIV ในเลือดของผู้ติดเชื้อลดต่ำจนไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยการทดสอบมาตรฐาน ซึ่งเกิดจากการที่ผู้ติดเชื้อได้รับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัส (ART) อย่างสม่ำเสมอ แนวคิด U=U เป็นที่ยอมรับทางวิทยาศาสตร์ว่า ผู้ที่มีปริมาณไวรัส HIV ต่ำจนตรวจไม่พบ ไม่สามารถแพร่เชื้อให้คู่นอนผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้ อย่างไรก็ตาม คำถามที่หลายคนยังคงสงสัยคือ ถ้าไวรัสตรวจไม่พบแล้ว สามารถมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยได้ไหม และมันปลอดภัยจริงหรือ?

  • | | |

    มารู้จักเอดส์ กับระยะของการติดเชื้อ และผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงสังเกตตนเองอย่างไร

    ทุกคนรู้ดีว่า “เอดส์” คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ปัจจุบันยังไม่มียาหรือวิธีในการรักษาให้หายขาด แต่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรงเพื่อต่อสู้กับโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่จะเข้ามาหา ปัจจัยเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดโรคนี้คือ การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคู่โดยไม่ป้องกันด้วยถุงยางอนามัย หรือห่วงอนามัย, การใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น ซึ่งเชื้อเอดส์นี้จะไม่ติดต่อทางน้ำลายหรือการสัมผัสภายนอก อย่างไรก็ตามสำหรับใครที่มีพฤติกรรมเสี่ยง การรู้ว่าเอดส์ระยะแรก และระยะถัด ๆ ไปเป็นอย่างไร จะช่วยด้านการดูแลตนเองอย่างดี เอดส์ระยะแรก แสดงอาการอย่างไร เอดส์ระยะสาม แสดงอาการอย่างไร จะเรียกว่า เอดส์ระยะสุดท้าย หรือ ระยะโรคเอดส์ก็ไม่ผิด เพราะจากแค่เป็นการติดเชื้อจะพัฒนาไปสู่การเป็นโรคเอดส์แบบเต็มตัว ภูมิคุ้มกันในร่างกายจะลดลงและบกพร่องมากขึ้น ส่งผลให้โรคแทรกซ้อนต่าง ๆ หรือโรคฉวยโอกาสจากเชื้อไวรัสอื่นเข้ามาง่ายขึ้น ร่างกายจะโทรมเร็ว มีผื่นขึ้นตามตัว และมีอาการป่วยตามแต่จะเกิดการติดเชื้อ โรคเอดส์ถือเป็นโรคอันตรายที่คนทั้งโลกเองรู้ดี ดังนั้นการเริ่มต้นจากตนเองด้วยวิธีใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม รักเดียวใจเดียว ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ และตรวจเอชไอวีเป็นประจำจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ได้เป็นอย่างดี

  • | | |

     ยาต้านไวรัสเอชไอวี

    เอชไอวี คือ เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่จำเป็นต้องป่วยเป็นโรคเอดส์เสมอไป หากมีการติดเชื้อเอชไอวีแล้วนั้นเชื้อจะอยู่ในร่างกายผู้ติดเชื้อตลอดไป  ซึ่งจะใช้ช่วงก่อนหรือหลังจากการสัมผัสเชื้อ HIV สำหรับยาที่รับประทานเพื่อลดความเสี่ยงก่อนการติดเชื้อนั้น เรียกว่ายา PrEP ซึ่งย่อมาจาก Pre-Exposure Prophylaxis (ยาต้านก่อนเสี่ยง) และยาที่รับประทานเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังจากสัมผัสเชื้อนั้น เรียกว่ายา PEP โดยย่อมาจาก Post -Exposure Prophylaxis (ยาต้านฉุกเฉิน) ยาต้านหรือยารักษา HIV มีกี่แบบ ปัจจุบันยาต้าน ยารักษา HIV หรือที่เรียกว่ายา Antiretroviral (ARV) นั้นที่ใช้กันนั้น ดังนี้ ในประเทศไทย ยาเพร็พมีให้บริการอย่างแพร่หลาย และประชาชนสามารถเข้าถึงได้ผ่านผู้ให้บริการด้านสุขภาพ คลินิก และองค์กรต่าง ๆ ดังนี้: ยาต้านไวรัส HIV ราคาเท่าไหร่ ยาต้านไวรัส HIV ต้องทานตอนไหน และการปฏิบัติตัวหลังทานยาต้าน การทานยาต้านแต่ละตัวนั้นมีความแตกต่างกันตามกลุ่มของยา โดยแพทย์จะเป็นผู้แนะนำให้ให้คำปรึกษาในการรับยาพิจารณาจากผลการตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการว่าผู้ป่วยเหมาะสมกับยาสูตรใดชนิดใด  ซึ่งต้องใช้ตัวยาร่วมกัน 3 ชนิด หรือเรียกว่า Highly…