| | |

มารู้จักเอดส์ กับระยะของการติดเชื้อ และผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงสังเกตตนเองอย่างไร

ทุกคนรู้ดีว่า “เอดส์” คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ปัจจุบันยังไม่มียาหรือวิธีในการรักษาให้หายขาด แต่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรงเพื่อต่อสู้กับโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่จะเข้ามาหา ปัจจัยเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดโรคนี้คือ การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคู่โดยไม่ป้องกันด้วยถุงยางอนามัย หรือห่วงอนามัย, การใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น ซึ่งเชื้อเอดส์นี้จะไม่ติดต่อทางน้ำลายหรือการสัมผัสภายนอก อย่างไรก็ตามสำหรับใครที่มีพฤติกรรมเสี่ยง การรู้ว่าเอดส์ระยะแรก และระยะถัด ๆ ไปเป็นอย่างไร จะช่วยด้านการดูแลตนเองอย่างดี

เอดส์ระยะแรก แสดงอาการอย่างไร

เอดส์ระยะแรกจะเรียกว่า ระยะเฉียบพลัน คือ อาการของร่างกายที่ได้รับเชื้อ HIV เข้ามาแล้วราว ๆ 2-3 สัปดาห์ จนเริ่มเกิดการฟักตัว สังเกตง่าย ๆ คือ

  • มีไข้
  • เจ็บคอ
  • ปวดศีรษะ
  • หนาวสั่น
  • อ่อนเพลียมากผิดปกติ
  • ต่อมน้ำเหลืองบวม
  • มีผื่นแดงและนูนที่ผิวหนัง
  • ปวดกล้ามเนื้อ

สาเหตุที่ร่างกายเกิดปฏิกิริยาเหล่านี้ขึ้นเพราะต้องการตอบสนองกับสิ่งแปลกปลอมภายนอกที่เข้ามาหา ประกอบกับเมื่อเชื้อ HIV เข้ามาตอนแรก ๆ จะแพร่กระจายไปตามส่วนต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เม็ดเลือดขาวมีปริมาณลดลงฉับพลัน ระยะนี้ถือว่าเป็นอันตรายในการแพร่ไปสู่ผู้อื่นเนื่องจากยังไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร เมื่ออาการต่าง ๆ เริ่มดีขึ้นแสดงว่าการแพร่ของไวรัสอยู่ในสภาวะคงที่ เม็ดเลือดขาวก็จะค่อย ๆ เพิ่มปริมาณกลับมาอีกครั้ง

เอดส์ระยะสอง แสดงอาการอย่างไร

เมื่อผ่านช่วงการเป็นเอดส์ระยะแรกมาแล้ว ก็จะเข้าสู่ระยะสอง ซึ่งทางการแพทย์มักเรียกว่าเป็น ระยะสงบ หรือ ระยะติดเชื้อแบบเรื้อรัง ซึ่งจะไม่ค่อยแสดงอาการใด ๆ ออกมา หรือมีเจ็บป่วยบ้างแต่ก็เล็กน้อย หากไม่ตรวจเลือดจะไม่รู้เลยว่าตนเองมีเชื้อนี้อยู่ในร่างกาย ซึ่งการสงบของเชื้ออาจอยู่ได้ยาวนานถึง 10 ปีเลยทีเดียว ถือว่าเป็นอีกระยะที่อันตรายเพราะเมื่อไม่แสดงอาการแล้วยังมีพฤติกรรมเสี่ยงก็อาจทำให้คนอื่นติดไปด้วย

เอดส์ระยะสาม แสดงอาการอย่างไร

จะเรียกว่า เอดส์ระยะสุดท้าย หรือ ระยะโรคเอดส์ก็ไม่ผิด เพราะจากแค่เป็นการติดเชื้อจะพัฒนาไปสู่การเป็นโรคเอดส์แบบเต็มตัว ภูมิคุ้มกันในร่างกายจะลดลงและบกพร่องมากขึ้น ส่งผลให้โรคแทรกซ้อนต่าง ๆ หรือโรคฉวยโอกาสจากเชื้อไวรัสอื่นเข้ามาง่ายขึ้น ร่างกายจะโทรมเร็ว มีผื่นขึ้นตามตัว และมีอาการป่วยตามแต่จะเกิดการติดเชื้อ

โรคเอดส์ถือเป็นโรคอันตรายที่คนทั้งโลกเองรู้ดี ดังนั้นการเริ่มต้นจากตนเองด้วยวิธีใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม รักเดียวใจเดียว ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ และตรวจเอชไอวีเป็นประจำจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ได้เป็นอย่างดี

Similar Posts

  • อะไรคือ เพร็พกับเป๊ป

    เพร็พกับเป๊ป นั้นมีความแตกต่างกันในแง่ของสถานการณ์การใช้งาน ยาเพร็พ (PrEP) หรือภาษาอังกฤษที่ว่า Pre-Exposure Prophylaxis คือ ยาที่ใช้รับประทานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนที่จะมีความเสี่ยง เรียกง่ายๆ ว่าเป็นยาที่ทานก่อนมีเซ็กส์นั่นเอง ส่วนยาเป๊ป (PEP) ภาษาอังกฤษเรียกว่า Post-Exposure Prophylaxis คือ ยาที่ใช้รับประทาน เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังมีความเสี่ยง หรือทานในกรณีฉุกเฉินไม่เกินระยะเวลา 72 ชั่วโมง ซึ่งตัวยาทั้งสองนี้ช่วยให้คนที่มีความเสี่ยงสูง ในการติดเชื้อเอชไอวี ได้รับการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย เพร็พกับเป๊ป คืออะไร? คือ ยาชนิดรับประทานที่มีประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ ได้แก่ ยาเพร็พ PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) คือ การใช้ยาเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ก่อน ที่จะมีความเสี่ยง ซึ่งมีตัวยาสำคัญใน 1 เม็ดประกอบไปด้วย Emtricitabine (FTC) ขนาด 200 มิลลิกรัม และ Tenofovir (TDF) ขนาด 300 มิลลิกรัม หลังจากที่คุณใช้เพร็พแล้ว…

  • | |

    PEP ยาเป็ปกับสิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มทาน

    ในด้านของสุขภาพ ความรู้ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียว แต่มักเป็นสิ่งที่เราจะสามารถป้องกันความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ในโลกนี้มีสิ่งที่สำคัญแต่มักถูกมองข้ามไปเช่น PEP คือสิ่งที่มาพร้อมกับการป้องกันในปัญหาสุขภาพระดับโลกที่สำคัญนั่นคือเอชไอวี เป็ป ยังคงเป็นสิ่งที่จะสามารถต่อสู้กับเอชไอวีได้โดยให้การช่วยเหลือสำหรับบุคคลที่อาจได้รับการสัมผัสกับเชื้อไวรัส เป็ป เป็นวิธีการดูแลสุขภาพในช่วงเวลาหลังจากสัมผัสเชื้อเอชไอวีหรือหลังเกิดความเสี่ยง

  • | | |

    ยาเพร็พ (PrEP) ป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อเอชไอวี

    ยาต้านไวรัสเอชไอวีเป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งหรือต้านการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี ช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้สูงสุดถึง 99% หากมีการใช้อย่างถูกวิธี Exposure prophylaxis เป็นยาที่ทานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี เท่านั้น ไม่ได้รวมถึงโรคอื่น โดยก่อนการรับยาต้องมีการประเมินความเสี่ยงจากประวัติของคนไข้ว่าตรงตามเงื่อนไขการรับยาหรือไม่ ประกอบกับการตรวจเลือดตามมาตรฐานสากล(คนไข้ที่จะรับยาจะต้องมีผลเอชไอวี เป็นลบ) และยาในกลุ่มนี้ต้องพิจารณาจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น รู้จักยาเพร็พ (PrEP) ยา PrEP ย่อมาจาก pre-exposure prophylaxis หมายถึง การให้ยาต้านไวรัสเอชไอวีในผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ ก่อนมีการสัมผัสที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีจากการสัมผัสนั้น การใช้ยาเพร็พ (PrEP) สาเหตุที่ต้องรับยาเพร็พ (PrEP) การใช้ยาเพื่อป้องกันก่อนการสัมผัสโรค (pre-exposure prophylaxis; PrEP) หรือยาต้านก่อนเสี่ยงนั้น  เพื่อให้ร่างกายมีระดับยาที่เพียงพอในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยต้องจะรับประทานยาติดต่อกันทุกวันตลอดช่วงที่ยังมีความเสี่ยงอยู่ และการใช้ยาในลักษณะนี้จะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ โดยผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการตรวจเลือดก่อนเริ่มยาว่าตนไม่มีเชื้อเอชไอวี อยู่ก่อนแล้ว  ใครบ้างที่ควรได้รับยาเพร็พ (PrEP) ยาเพร็พ (PrEP) ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ได้กี่เปอร์เซ็นต์ การใช้ยา PrEP อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง โดยกินต่อเนื่องทุกวันไปอย่างน้อย 7 วันก่อนที่จะมีความเสี่ยง จะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อเอชไอวี จากการมีเพศสัมพันธ์ได้มากกว่า 90 %…

  • | | | | |

    Undetectable แล้วไม่ป้องกันได้ไหม ปลอดภัยจริงไหม?

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิด หรือ “U=U” ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแพทย์และสาธารณสุข โดยคำว่า “Undetectable” หมายถึงการที่ปริมาณไวรัส HIV ในเลือดของผู้ติดเชื้อลดต่ำจนไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยการทดสอบมาตรฐาน ซึ่งเกิดจากการที่ผู้ติดเชื้อได้รับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัส (ART) อย่างสม่ำเสมอ แนวคิด U=U เป็นที่ยอมรับทางวิทยาศาสตร์ว่า ผู้ที่มีปริมาณไวรัส HIV ต่ำจนตรวจไม่พบ ไม่สามารถแพร่เชื้อให้คู่นอนผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้ อย่างไรก็ตาม คำถามที่หลายคนยังคงสงสัยคือ ถ้าไวรัสตรวจไม่พบแล้ว สามารถมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยได้ไหม และมันปลอดภัยจริงหรือ?

  • |

    วิธีการอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีอย่างไรให้ปลอดภัย

    เมื่อคนในบ้านติดเชื้อเอชไอวี เราจะมีวิธีการอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีนั้นให้ปลอดภัยได้อย่าง โดยเฉพาะคนในครอบครัวเดียวกันนั้น ถือเป็นบุคคลสำคัญที่ช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะนอกจากคอยให้กำลังใจแล้ว ยังต้องดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยให้มีพลานามัยสมบูรณ์ และสร้างสิ่งแวดล้อมบริเวณที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ในปัจจุบันจำนวนผู้ติดเชื้อ เอชไอวี ยังคงมีมาก และพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในทุกๆ วัน แต่ยังคงไม่มีตัวยา ที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มีเพียงยาต้านไวรัสเอชไอวี ที่ช่วยให้ผู้ติดเชื้อไม่มีอาการแย่ลง และสามารถใช้ชีวิต ได้อย่างปกติทั่วไป  ปัจจุบันสังคมไทยมีความเข้าใจในด้านเอชไอวีมากขึ้น แต่ก็ยังคงมีความกล้าๆ กลัวๆ อยู่ คือ ยังมีมุมมองที่ติดลบ ไม่กล้าเปิดใจ ดังนั้น เราควรทำความเข้าใจผู้ติดเชื้อเอชไอวีให้มากขึ้น เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเชื้อเอชไอวีว่าเป็นเชื้อที่ไม่ได้ติดกันง่ายๆ เอชไอวี เป็นไวรัสที่อยู่ตามสารคัดหลั่ง ไม่ว่าจะเป็น เลือด น้านม อสุจิ น้ำในช่องคลอด น้ำในทวาร หรือน้ำลาย เป็นต้น โดยสามารถติดต่อกันได้ 3 ช่องทาง คือ  ทางการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน จากแม่สู่ลูก จากการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เพราะเป็นการส่งต่อเชื้อทางเลือด อะไรก็ตาม ที่สัมผัสกับเลือดก็มีโอกาสเสี่ยง ถ้าหากผิวหนังของเรา สัมผัสกับเลือดผู้ติดเชื้อ ไม่ถือว่าเป็นอันตราย เพราะผิวหนังของเรา สามารถกันเชื้อไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย แต่ถ้าเกิดคุณมีแผลตามผิวหนัง ก็มีโอกาสเสี่ยง…

  • | | | |

    Untransmittable ความสำคัญที่เปลี่ยนแปลงชีวิตและสังคม

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “Untransmittable” ที่มาพร้อมแนวคิด “ตรวจไม่เจอ = ไม่แพร่เชื้อ” (U=U) ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแพทย์และสังคมทั่วโลก แนวคิดนี้ไม่เพียงแค่ช่วยปรับปรุงชีวิตของผู้ติดเชื้อ HIV แต่ยังเปลี่ยนแปลงทัศนคติและการยอมรับในสังคมต่อผู้ที่มีเชื้อ HIV ด้วย