โรคเริม โรคติดต่อทางผิวหนัง ที่เราป้องกันได้
|

โรคเริม โรคติดต่อทางผิวหนัง ที่เราป้องกันได้

เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังชนิดหนึ่ง สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยมักพบผู้ป่วยวัยหนุ่มสาว และวัยผู้ใหญ่ ผู้ป่วยโรคเริมส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการของโรค  หากเป็นแล้วสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก เพราะเมื่อเป็นแล้วอาจทำให้การรักษาให้หายขาดได้ยาก

โรคเริม (Herpes) คืออะไร

เริม (Herpes) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus) ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งของผิวหนังและเยื่อเมือกต่าง ๆที่พบบ่อยมากบริเวณปาก และอวัยวะเพศแล้ว ทำให้มีลักษณะพุขึ้นเป็นตุ่มใสเล็ก ๆ แล้วแตกเป็นแผล ตกสะเก็ด ซึ่งหายได้เอง แต่มักกำเริบซ้ำและเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมักมีอาการกำเริบได้บ่อยและรุนแรงกว่าปกติ  

ระยะฟักตัวของโรค

หลังจากได้รับเชื้อครั้งแรกจนกระทั่งแสดงอาการจะใช้เวลาประมาณ 2-20 วัน

สาเหตุการเกิดโรคเริม

โดยเชื้อไวรัสเริมแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

  • เชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ ชนิดที่ 1 (Herpes Simplex Virus type 1: HSV-1)  มักพบการติดเชื้อบริเวณปากหรือรอบๆ ปาก เกิดขึ้นเมื่อร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น มีความเครียด พักผ่อนน้อย ร่างกายอยู่ในช่วงพักฟื้นจากการเจ็บป่วยหรือผ่าตัด หรือ แม้แต่ช่วงที่ผู้หญิงมีประจำเดือน ก็สามารถป่วยด้วยโรคนี้ได้ เช่น อาการเริมที่ปาก พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
  • เชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ ชนิดที่ 2 (Herpes Simplex Virus type 2: HSV-2) เป็นการติดเชื้อที่บริเวณอวัยวะสืบพันธ์ หรือ อวัยวะเพศ ช่องคลอด ปากมดลูก ทหารหนัก อวัยวะเพศชาย ถุงอัณฑะ เป็นต้น พบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก

การติดเชื้อทั้ง 2  ชนิดนั้น สามารถเป็นปัจจัยสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อที่อวัยวะอื่นๆ ของร่างกายได้เช่นกัน เมื่อร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น การติดเชื้อที่สมอง และอวัยวะสำคัญต่างๆ

HSV-1 และ HSV-2 เหมือนกันหรือไม่ ?

เชื้อไวรัสทั้ง 2 ชนิด สามารถทำให้เกิดโรคเริมที่อวัยวะเพศได้ทั้งคู่ แต่โดยส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 70-90 เปอร์เซ็นต์  ของการติดเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 (HSV-1) เกิดในตำแหน่งที่สูงกว่าเอว พบมากบริเวณริมฝีปากและจมูก และร้อยละ 70-90 ของการติดเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 (HSV-2) เกิดในตำแหน่งที่ต่ำกว่าเอว ซึ่งนั่นหมายถึงบริเวณอวัยวะเพศ

โรคเริมเกิดที่ไหนได้อีกบ้าง

นอกจากโรคเริมจะพบได้บ่อยที่บริเวณปาก และอวัยวะเพศแล้ว โรคเริ่มยังสามารถเกิดขึ้นกับบริเวณอื่นได้เช่นกัน

1. เริมที่ริมฝีปาก เริมในปาก เริมที่มุมปาก

เริ่มต้นจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนและคันบริเวณปากก่อนเกิดผื่น จากนั้นผื่นจะพัฒนาเป็นตุ่มใส และอาจรวมกันเป็นแผลใหญ่ขึ้น ผู้ป่วยมักจะมีไข้ต่ำๆ ร่วมด้วย อาการของโรคแทรกซ้อนที่อาจพบคือ เชื้อไวรัสแพร่ไปติดเนื้อเยื่อข้างเคียง ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องการติดเชื้ออาจทำให้เสียชีวิตได้

2. เริมที่ขา

เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน หรือปวดเสียว อาจมีอาการปวดแปลบมาก่อนที่จะเกิดตุ่มน้ำใสขนาดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร โดยจะขึ้นกันเป็นกลุ่ม

3. โรคเริมที่จมูก หรือ โรคเริมที่ตา

มีตุ่มน้ำใสเกิดเป็นกระจุกหรือกลุ่ม เมื่อมีอาการผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด ถ้าพบว่ากระจกตาอักเสบจาก Herpes simplex virus แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสแบบทา  ซึ่งปกติมักจะหายไปได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์

4. เริมที่คอ

เกิดแผลเปื่อยในช่องปาก ซึ่งมักจะเป็นแผลเดียวเกิดขึ้นที่บริเวณเหงือกหรือที่เพดานแข็ง มีลักษณะเป็นตุ่มน้ำในช่วงแรกๆ จากนั้นน้ำจะแตกออก ทำให้เกิดสะเก็ดสีเหลืองปกคลุมอยู่บนพื้นสีแดง และเกิดแผลตื้นเมื่อลอกสะเก็ดออกจะกลายเป็นแผลตื้นสีแดง

5. เริมที่อวัยวะเพศ

เกิดตุ่มพองเล็กๆ แล้วแตกออก ทำให้เกิดการตกสะเก็ดและหายไปใน 2 -3 สัปดาห์ ในเพศหญิงมักเกิดบริเวณช่องคลอด ทวารหนักและสะโพก ส่วนในเพศชายจะเกิดบริเวณอวัยวะเพศ ถุงอัณฑะ บริเวณสะโพกใกล้ทวารหนัก ทำให้เกิดอาการเจ็บ แสบ คันบาดแผลจากตุ่มพอง พร้อมทั้งเจ็บขณะปัสสาวะร่วมด้วย

อาการของโรคเริม

อาการของการติดเชื้อทั้ง 2 ชนิด อาการของโรคจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ติดเชื้อ อายุ ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย และชนิดของเชื้อไวรัสเริม จะเริ่มจากพบตุ่มพองใสๆ เล็กๆ ที่บริเวณผิวหนัง จากนั้น ตุ่มใสจะเริ่มพองและปวดแสบปวดร้อน เมื่อผ่านไป 1- 2 วัน ตุ่มใสจะมีน้ำอยู่ข้างในและเริ่มแตกออก หากมีการติดเชื้อก็จะเกิดการอักเสบลุกลามและเกิดแผลขนาดใหญ่รักษาหายยากขึ้น

อาการร่วมนอกจากการมีตุ่มใส คือ อาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามร่างกาย เนื่องจากเป็นปฏิกิริยาการก่อโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส อาการจึงคล้ายโรคหวัด แต่ไม่มีอาการคัดจมูกน้ำมูกไหลเหมือนหวัด แต่สำหรับผู้ป่วยที่เป็นครั้งแรกจะรู้สึกอาการรุนแรงและใช้เวลานานกว่าจะหายประมาณ 1-2  สัปดาห์ ส่วนผู้ที่เคยเป็นแล้วกลับมาเป็นใหม่ระยะเวลาการหายจะเร็วขึ้น เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันแล้ว

เมื่อใด ควรไปพบแพทย์

  • มีตุ่มพอง ลุกลามมาก
  • ไข้สูง ไข้ไม่ลดภายใน 1 – 3 วัน (ขึ้นกับความรุนแรงของอาการ)
  • เริ่มมีอาการทางดวงตา เช่น เจ็บตา เคืองตา น้ำตาไหล
  • มีตุ่มน้ำเป็นหนอง ต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ควรให้แพทย์เป็นผู้สั่งยา
  • มีไข้สูง ร่วมกับปวดศีรษะมาก แขน ขาอ่อนแรง ชัก และ/หรือโคม่า

การวินิจฉัยโรคเริม

  1. แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคเริมได้จากประวัติอาการ การตรวจร่างกาย และจากลักษณะตุ่มน้ำ 
  2. แต่ในบางรายซึ่งมีอาการไม่ชัดเจน แพทย์อาจตรวจหาเชื้อด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การขูดแผลนำเนื้อเยื่อไปย้อมสี การตรวจหาสารก่อภูมิต้านทาน (แอนติเจน) หรือดีเอ็นเอของเชื้อเริมจากแผลหรือสิ่งคัดหลั่ง การทดสอบทางน้ำเหลืองเพื่อหาระดับสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี)
  3. มักตรวจพบตุ่มน้ำใสขนาด 2-3 มิลลิเมตร หลายตุ่มอยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ หรือพบตุ่มตกสะเก็ดหรือแผลเล็ก ๆ คล้ายรอยถลอกในบริเวณผิวหนังส่วนใดส่วนหนึ่ง ริมฝีปาก หรือที่อวัยวะเพศ และอาจตรวจพบต่อมน้ำเหลืองในบริเวณใกล้เคียงโตและเจ็บ ผู้ป่วยบางรายอาจมีไข้ร่วมด้วย อาจตรวจพบแผลขึ้นพร้อมกันหลายแห่งในช่องปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็กที่เป็นเริมในช่องปาก

การรักษาโรคเริม

ถ้าผู้ป่วยมีอาการแสดงชัดเจน แพทย์จะให้การรักษาไปตามอาการ (เช่น ให้ยาแก้ปวดลดไข้ ยาบรรเทาอาการคัน ให้สารน้ำในรายที่มีภาวะขาดน้ำ) ร่วมไปกับการให้ยาต้านไวรัส ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของโรค ช่วยให้หายเร็วขึ้น และลดโอกาสการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น แต่มักจะไม่ได้มีผลในการป้องกันการกำเริบซ้ำ เพราะยาต้านไวรัสไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสที่แฝงตัวอยู่ในปมประสาทได้ 

ส่วนในรายที่มีอาการแสดงไม่ชัดเจน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจวินิจฉัย ซึ่งวิธีการรักษาโรคนี้ที่สำคัญคือการให้ยาต้านไวรัส เพื่อตรวจรักษาอย่างละเอียดและป้องกันอันตรายจากภาวะแทรกซ้อน

การรักษาที่สำคัญที่สุดของโรคเริม คือ การป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน โดยเฉพาะในบริเวณอวัยวะสำคัญ เช่น ดวงตา เพราะ การติดเชื้อเริม บริเวณใดก็ตาม ต้องดูแลตุ่มใสไม่ให้เกิดการอักเสบติดเชื้อซ้ำซ้อน เพราะถ้าหากติดเชื้อแทรกซ้อน จะทำให้เกิดการทำลายอวัยวะที่ติดเชื้อได้ เช่น ติดเชื้อที่ดวงตาสามารถทำให้ตาบอดหรือสูญเสียการมองเห็นได้ หากติดเชื้อลุกลามอวัยวะภายในก็สามารถสร้างความอันตรายได้เช่นกัน เช่น การติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง เป็นต้น

การป้องกันโรคเริม

  • สำหรับคนที่ยังไม่เคยได้รับเชื้อ ต้องหมั่นรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพราะเชื้อเริมอาจมีในสิ่งแวดล้อมทั่วไป ซึ่งเราสามารถสัมผัสเชื้อผ่านสิ่งของ เครื่องใช้ การใช้สิ่งของหรืออุปกรณ์ในที่สาธารณะ หากร่างกายอ่อนแอ และถ้าหากเรามีสุขภาพไม่แข็งแรง เมื่อรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายเชื้อก็จะสามารถก่อโรคและอันตรายได้
  • ดื่มน้ำ และพักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • สวมถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดโอกาสการเกิดโรคติดต่อ
  • หลีกเลี่ยงการเที่ยวหญิงบริการ และมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่คู่ครอง แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรสวมถุงยางอนามัยด้วยทุกครั้ง รวมไปถึงการหลีกเลี่ยงการสัมผัสที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ทางปาก (Oral-genital contact)
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล น้ำลาย หรือสิ่งคัดหลั่งของผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีตุ่มตามผิวหนังหรือเยื่อเมือก หรือผู้ป่วยที่มีแผลเปื่อยในช่องปาก (โดยปกติแล้วระยะแพร่เชื้อติดต่อให้ผู้อื่นได้ คือ ตั้งแต่เริ่มมีอาการนำจนกระทั่งแผลหายตกสะเก็ด)
  • หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกับผู้อื่น เช่น จานชาม แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า มีดโกน เป็นต้น
  • ควรรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทั้งห้าหมู่ในทุก ๆ วัน นอนหลับพักผ่อนให้เพียง และทำให้จิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส/หลีกเลี่ยงความเครียด
  • การรับประทานยาต้านไวรัสทุกวันสามารถช่วยลดการแพร่เชื้อได้ แต่เนื่องจากยามีผลข้างเคียง จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา
  • ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคเริม แต่กำลังมีการศึกษาคิดค้นกันอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นโรคที่พบได้บ่อย

การดูแลรักษาตัวเองระหว่างเป็นโรคเริม

  • ควรกินยาให้ถูกต้องตามหมอสั่ง
  • โรคเริม เป็นโรคที่สามารถหายได้เอง โดยเฉพาะ เริม ที่กลับมาเป็นซ้ำและมักไม่มีอาการที่รุนแรงมากนัก ซึ่งเมื่อรู้ตัวแล้วว่าโรคเริมถามหา วิธีการดูแลตนเองที่ดีที่สุด คือการพักผ่อนให้เพียงพอ พยายามไม่เครียด และควรดื่มน้ำมากๆ
  • ในส่วนของแผลจากตุ่มน้ำ ถ้าเป็นเริมที่คอ แนะนำให้กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ
  • หากเป็นตุ่มแผล บริเวณอื่นๆ เช่น เริมที่ขา เริมที่ก้น เริมที่จมูก ควรอาบน้ำและทำความสะอาดแผลให้สะอาด เช่น ฟอกสบู่ให้สะอาด เพื่อป้องกันไม่ให้ตุ่มเป็นหนอง ไม่ควรแกะหรือเกาตุ่มแผล
  • กรณีที่มีไข้ สามารถรับประทานยาลดไข้ เพื่อบรรเทาอาการ
  • ควรทำความสะอาดแผลวันละ 2 ครั้ง โดยใช้สบู่อ่อนๆและน้ำสะอาดล้างเบาๆโดยไม่ต้องขัดหรือฟอก หลังจากนั้นซับให้แห้ง อาจทายาขี้ผึ้งปฏิชีวนะ (ยาปฏิชีวนะ) เฉพาะที่ตรงบริเวณรอยโรคเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน
  • ควรใส่ชุดชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้าย เพราะระบายอากาศได้ดีกว่าจึงช่วยลดการอับชื้น
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างมีตุ่มหรือแผลเริม และอย่างน้อยสองสัปดาห์หลังจากที่แผลเริมหายดีแล้ว
  • หากมีอาการปวดแสบปวดร้อนที่บริเวณรอยโรค อาจรับประทานยาแก้ปวดอะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) หรือที่เรารู้จักกันว่ายาพาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อบรรเทาอาการปวดที่เกิดขึ้น
  • ควรบอกคู่นอนว่าเมื่อคุณทราบว่าได้รับเชื้อ
  • ห้ามให้ผู้อื่นสัมผัสแผล
  • ตัดเล็บให้สั้น ป้องกันการเกา และตุ่มน้ำติดเชื้อจากการเกา
  • หากเป็นเริมที่ปาก ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารร้อน เผ็ด และเค็ม รวมถึงผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เพราะจะส่งผลต่อแผลที่ปากทำให้เกิดอาการแสบ
  • ควรรีบไปพบแพทย์ เมื่อเกิดตุ่งพองเป็นจำนวนมาก และมีไข้สูงภายใน 1-3 วัน
  • งดรับประทานอาหารแปรรูป เช่น ของหมัก ดอง แหนม ปลาร้า กะปิ อาหารที่ไม่สุก
  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มชูกำลัง

อ่านบทความอื่นๆ

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ :

  • เริม https://www.mplusthailand.com/โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ/เริม/
  • เริม โรคเริม ( Herpes ) คืออะไร สาเหตุ อาการ วิธีรักษา และการป้องกันโรคเริม เป็นอย่างไร
  • https://www.bangkoksafeclinic.com/th/โรคเริม/
  • เริม https://www.paolohospital.com/th-th/phrapradaeng/Article/Details/Uncategorized/เริม
  • โรคเริม (Herpes Simplex) https://www.doctorraksa.com/th-TH/blog/herpes-simplex.html

Similar Posts

  • รู้เท่าทันปวดหัวตอนมีเพศสัมพันธ์ (Sexual Headache)

    อาการปวดศีรษะสามารถเกิดขึ้นก่อน และระหว่างมีกิจกรรมทางเพศได้ หรือตอนที่ถึงจุดสุดยอด หรือหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ไปแล้วหลายชั่วโมงก็ยังปวดอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยตัวเอง หรือตอนออรัล เซ็กส์ อาการอาจจะดูไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่ก็ไม่ควรที่จะปล่อยไว้ เพื่อเป็นปัญหาทำลายความสุขในชีวิตรักได้ การปวดหัวตอนมีเพศสัมพันธ์(Sexual Headache)  คือ อาการปวดหัวตอนมีเพศสัมพันธ์นั้น เป็นอาการปวดหัวที่หาได้ยาก สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งระหว่างการมีเซ็กส์และหลังจากการมีเซ็กส์ แต่โดยปกติแล้วมักจะเกิดขึ้นหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากการสำเร็จความใคร่ โดยที่อาการปวดหัวนี้ไม่ได้มีสาเหตุมาจากโรค หรือความผิดปกติของร่างกายอื่นๆ ที่มีอยู่ก่อนแล้ว คุณอาจจะรู้สึกว่ามีอาการปวดตุบๆที่บริเวณศีรษะและลำคอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่กำลังทำกิจกรรมทางเพศ หรืออาจจะมีอาการปวดหัวจี๊ดขึ้นมาอย่างรุนแรงขณะสำเร็จความใคร่ อาการปวดมักจะมีอาการปวดหัวอย่างหนักนานไม่เกิน 1 วัน และอาการปวดเบาๆ อีกไม่เกิน 3 วัน อาการปวดนี้จะคล้ายกันอาการคล้ายกับอาการปวดหัวไมเกรน สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกช่วงอายุ และพบได้มากในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เช็คอาการผิดปกติ หากมีอาการปวดศีรษะ ปวดตื้อๆ บริเวณศีรษะ และลำคอ มักเกิดเมื่อมีความตื่นเต้น และแรงกระตุ้นทางเพศที่สูงขึ้นในระหว่างมีเพศสัมพันธ์ อาจเกิดตั้งแต่เริ่มเกิดขึ้นก่อน ระหว่างทำกิจกรรมทางเพศ หรือเสร็จการทำกิจกรรทางเพศแล้วนั้น โดยอาจปวดเพียงครู่เดียว หรือต่อเนื่องกันหลายนาที หลายชั่วโมงไปจนถึงหลายวัน  ผู้ที่มีความเสี่ยงอาการปวดหัวตอนมีเพศสัมพันธ์ ทำไมมีเพศสัมพันธ์แล้วถึงปวดหัว สาเหตุที่แตกต่างกันในแต่ละคน แต่สาเหตุที่พบกันบ่อยๆ ก็จะมีประมาณนี้ ทำไมปวดหัวตอนช่วยตัวเอง…

  • |

    ไวรัสตับอักเสบบี มีสาเหตุมาจากอะไร?

    ไวรัสตับอักเสบบี เป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่ยังถูกพบจำนวนมาก ในประเทศไทย ซึ่งนำไปสู่โรคร้ายแรงต่อตับของร่างกาย ได้แก่ โรคมะเร็งตับ โรคตับแข็ง และโรคตับวาย เป็นต้น ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ทราบว่าตัวเองติดไวรัสตับอักเสบบีอยู่ เพราะไม่มีความรู้ความเข้าใจว่าโรคชนิดนี้มีสาเหตุมาจากอะไร โดยบทความนี้จะแสดงรายละเอียดถึงโรคไวรัสตับอักเสบบีทั้งหมด รู้จักไวรัสตับอักเสบบี โรคไวรัสตับอักเสบบี หรือภาษาอังกฤษว่า Hepatitis B virus : HBV เมื่อผู้ติดเชื้อได้รับไวรัสชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์ตับ การทำงานของตับเสื่อมลงเพราะเกิดพังผืดค่อยๆ เกาะหลายปี อันส่งผลให้มีภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และอาจกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด จากสถิติพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งตับร้อยละ 90 มีประวัติเคยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบมาก่อน อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบี ความเป็นจริง โรคไวรัสตับอักเสบบี ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะมีอาการแสดงออกมาให้เห็นชัดๆ หรือในบางรายจะเข้าสู่ระยะอาการแบบเฉียบพลันเท่านั้น และอาการส่วนใหญ่ที่สามารถสังเกตได้ คือ ประมาณ 10-20% ของคนที่ติดเชื้อไวรัสอักเสบบีจะหายจากโรคไปได้เอง เพราะภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล หากเข้าสู่ระยะเรื้อรังแล้ว ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อกันอย่างไร เชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะสามารถติดต่อกันผ่านทางเลือด และสารคัดหลั่งของมนุษย์เป็นหลัก การที่จะรู้ได้ว่าคุณติดเชื้อแล้วหรือไม่ จะต้องมีการเจาะเลือดตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีด้วยวิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี้ ความเสี่ยงเหล่านี้ อาจทำให้คุณติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี ได้ ไวรัสตับอักเสบบี…

  • หนองในเทียมโรคร้ายที่ป้องกันได้

    หนองในเทียม อาจเป็นเรื้อรังและรักษาให้หายได้ยากกว่าโรคหนองในแท้ เนื่องจากส่วนใหญ่จะตรวจไม่พบเชื้อ ที่เป็นต้นเหตุ แต่สำหรับโรคหนองในเทียมที่เกิดจากเชื้อคลามัยเดีย (ซึ่งเกิดได้เป็นส่วนใหญ่) จะรักษาให้หายขาดได้ภายใน 14 วัน หากรับประทานยาที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด โรคหนองในเทียม คืออะไร โรคหนองในเทียม คือ การอักเสบของท่อปัสสาวะที่เกิดเชื้อโรคที่ไม่ใช่หนองในแท้ (Gonococcal Urethritis) สำหรับเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคหนองในเทียมได้แก่ สำหรับเชื้อที่เป็นสาเหตุของหนองในเทียมที่พบบ่อยที่สุดคือ Chlamydia trachomatis หรือ หนองในเทียม (Chlamydia) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเพศหญิง และเพศชาย  เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า  คลามัยเดีย ทราโคมาติส (Chlamydia Trachomatis)  ระยะฟักตัวของโรค หลังจากได้รับเชื้อมักจะ แสดงอาการภายใน 1-2 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้น สาเหตุของหนองในเทียม เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า คลามัยเดียทราโคมาติส (Chlamydia Trachomatis) จากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกันกับผู้ที่ติดเชื้อ เชื้อสามารถแพร่ติดต่อได้หลายทาง เช่น ทางอวัยวะเพศ ทางทวารหนัก ทางปาก หรือแม้กระทั่งทางตา หากมีสารคัดหลั่งจากร่างกายของผู้ติดเชื้อกระเด็นใส่ รวมไปถึงการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกในขณะตั้งครรภ์ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อหนองในเทียม อาการของหนองในเทียม อาการหนองในเทียมในผู้ชายมีอาการอย่างไร?…

  • |

    ซิฟิลิส รู้เร็ว รักษาได้

    ซิฟิลิส ซึ่งมีลักษณะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่ยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่มีผลต่อสุขภาพทั่วโลก โรคนี้เกิดขึ้นจากแบคทีเรียที่ชื่อ Treponema pallidum ถึงแม้จะมีการพัฒนาทางการแพทย์และแนวทางด้านสุขภาพสาธารณะ แต่โรคซิฟิลิสยังคงเป็นปัญหาสำคัญเนื่องจากลักษณะที่หลากหลายของโรค ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงและการแพร่กระจายต่อไป

  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted diseases)

    โรคที่ติดต่อจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งโดยผ่านการมีเพศสัมพันธ์ แล้วทำให้เกิดโรค ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยเฉียบพลัน ทำให้เกิดภาวะการมีบุตรยาก ทุพลภาพและอาจตายได้ ซึ่งมผลกระทบต่อภาวะสุขภาพกาย และจิตใจและสุขภาพที่รุนแรงต่อทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กได้ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ  โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted diseases: STD) คือกลุ่มโรคที่เกิดจากการติดต่อผ่านทางเพศกับคนที่เป็นโรค หรือคนที่ติดเชื้อ ทั้งจากการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก และสามารถติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ ผ่านการถ่ายโอนเลือด หรือการใช้เข็มร่วมกันได้เหมือนกัน สาเหตุของโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาการแบบใดสงสัยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์   อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยการกินหรือฉีดยาปฏิชีวนะให้ครบตามแพทย์สั่ง และให้ความสำคัญกับการพาคู่นอนมารับการตรวจรักษา ส่วนโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิดจะอยู่ในร่างกายตลอดชีวิต เช่น เริม การรักษาจะช่วยควบคุมอาการโรคได้ แต่การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น เอชพีวี ร่างกายอาจกำจัดเชื้อได้เอง หากกำจัดไม่ได้เชื้ออาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งในอนาคต  การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์   การปฏิบัติตัวของผู้ที่เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ใครควรตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ตรวจจากอะไร? การตรวจสามารถทำได้หลายวิธี แพทย์จะเลือกการตรวจที่เหมาะสมที่สุดจากการซักประวัติ ซึ่งวิธีตรวจหลักๆ จะมีดังนี้ อ่านบทความอื่นๆ…

  • ดูแลตัวเองอย่างไร ?…เมื่อเป็นโรคซิฟิลิส  

    โรคซิฟิลิสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า ทริปโปนีมา พัลลิดุม (Treponema Pallidum) จากการสัมผัสถูกเชื้อโดยตรงจากแผลของผู้ป่วย และระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ที่มักสุ่มเสี่ยงกับการติดเชื้อได้มากที่สุด จึงมักถูกจัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคซิฟิลิสคือ? ซิฟิลิส (Syphilis) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ทรีโพนีมาพาลลิดัม (Treponema pallidum)  โดยปกติจะติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้เกิดผื่นหรือแผลตามผิวหนัง และ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงขึ้นหากไม่รักษา โดยทั่วไปโรคซิฟิลิสจะเริ่มจากบาดแผล ซึ่งมักพบบริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก ลักษณะของแผลจะเป็นแผลที่ไม่รู้สึกเจ็บ (Painless sore) หรือเรียกว่าแผลริมแข็ง (Chancre) การแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่นสามารถเกิดได้ผ่านทางการสัมผัสบาดแผลนี้กับผิวหนังหรือเยื่อบุต่างๆ ระยะฟักตัวของโรค หลังจากที่ได้รับเชื้อ ก็มักจะแสดงอาการภายใน 10 – 90 วัน โรคซิฟิลิส ติดต่อกันได้อย่างไร สามารถรับเชื้อซิฟิลิสได้ 3 ทาง คือ ทางเพศสัมพันธ์ โดยติดต่อผ่านทางเยื่อบุช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ติดต่อผ่านการสัมผัสแผลที่มีเชื้อ โดยผ่านทางผิวหนัง เยื่อบุตา ปาก จากแม่สู่ลูก โดยหากมารดาเป็นซิฟิลิส จะถ่ายทอดโรคนี้สู่ทารกในครรภ์ได้ โดยเรียกเด็กที่เป็นซิฟิลิสจากสาเหตุนี้ว่า ซิฟิลิสแต่กำเนิด (Congenital…