| | | | |

Undetectable แล้วไม่ป้องกันได้ไหม ปลอดภัยจริงไหม?

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิด หรือ “U=U” ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแพทย์และสาธารณสุข โดยคำว่า “Undetectable” หมายถึงการที่ปริมาณไวรัส HIV ในเลือดของผู้ติดเชื้อลดต่ำจนไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยการทดสอบมาตรฐาน ซึ่งเกิดจากการที่ผู้ติดเชื้อได้รับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัส (ART) อย่างสม่ำเสมอ แนวคิด U=U เป็นที่ยอมรับทางวิทยาศาสตร์ว่า ผู้ที่มีปริมาณไวรัส HIV ต่ำจนตรวจไม่พบ ไม่สามารถแพร่เชื้อให้คู่นอนผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้ อย่างไรก็ตาม คำถามที่หลายคนยังคงสงสัยคือ ถ้าไวรัสตรวจไม่พบแล้ว สามารถมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยได้ไหม และมันปลอดภัยจริงหรือ?

แนวคิด U=U คืออะไร?

“Undetectable = Untransmittable” หรือ “ตรวจไม่เจอ = ไม่แพร่เชื้อ” เป็นแนวคิดที่ได้รับการพิสูจน์แล้วทางวิทยาศาสตร์ โดยหมายความว่า หากผู้ติดเชื้อ HIV สามารถลดปริมาณไวรัสในเลือดให้ต่ำจนตรวจไม่พบ จะไม่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ HIV ให้กับคู่นอน งานวิจัยหลายชิ้น เช่น การศึกษาขนาดใหญ่จากโครงการ PARTNER และ HPTN 052 ได้แสดงให้เห็นว่า คู่รักที่มีสถานะการติดเชื้อ HIV ไม่ตรงกัน (หนึ่งคนมีเชื้อ อีกคนไม่มีเชื้อ) เมื่อผู้ที่ติดเชื้อสามารถควบคุมระดับไวรัสในเลือดให้ต่ำจนตรวจไม่พบได้ ไม่มีการแพร่เชื้อ HIV เกิดขึ้นเลย แม้ว่าจะมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย

การศึกษาจากโครงการ PARTNER ซึ่งเป็นหนึ่งในงานวิจัยที่ใหญ่ที่สุดในการตรวจสอบเรื่อง U=U ได้ติดตามคู่รักหลายพันคู่ทั่วโลกที่มีสถานะการติดเชื้อ HIV ต่างกัน และพบว่าในกรณีที่ผู้ติดเชื้อ HIV มีปริมาณไวรัสที่ตรวจไม่พบ ไม่มีการแพร่เชื้อ HIV เกิดขึ้นแม้จะไม่มีการใช้ถุงยางอนามัย การศึกษานี้เป็นหลักฐานที่ยืนยันชัดเจนว่า U=U เป็นความจริงที่สามารถเชื่อถือได้

การใช้ถุงยางอนามัยกับ Undetectable ปลอดภัยจริงหรือ?

แม้ว่า U=U จะยืนยันได้ว่าผู้ที่มีปริมาณไวรัส HIV ต่ำจนตรวจไม่พบจะไม่สามารถแพร่เชื้อให้คู่นอนได้ แต่คำถามที่มักเกิดขึ้นคือ การตัดสินใจมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยจะปลอดภัยจริงหรือ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) อื่นๆ และความเสี่ยงจากการขาดความสม่ำเสมอในการรับยา

Undetectable นั้นวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว

จากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน แนวคิด U=U ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เมื่อผู้ติดเชื้อ HIV มีปริมาณไวรัสที่ตรวจไม่พบในเลือดนานกว่า 3-6 เดือน (Undetectable) และมีการติดตามการรับยาต้านไวรัส (ART) อย่างต่อเนื่อง ผู้ติดเชื้อจะไม่สามารถแพร่เชื้อ HIV ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ (Untransmittable) แม้จะไม่มีการใช้ถุงยางอนามัยก็ตาม การวิจัยหลัก เช่น:

  • โครงการ PARTNER: โครงการนี้ติดตามคู่รักที่มีสถานะการติดเชื้อ HIV ไม่ตรงกันกว่า 1,000 คู่ พบว่าไม่มีกรณีใดเลยที่เกิดการแพร่เชื้อ HIV จากผู้ที่มีไวรัสในระดับตรวจไม่พบไปยังคู่นอนของพวกเขา แม้ว่าจะไม่มีการใช้ถุงยางอนามัยก็ตาม
  • โครงการ HPTN 052: เป็นอีกหนึ่งการศึกษาใหญ่ที่ยืนยันเช่นเดียวกันว่า หากผู้ติดเชื้อสามารถลดปริมาณไวรัสให้ต่ำจนตรวจไม่พบ การแพร่เชื้อ HIV จะไม่เกิดขึ้นแม้จะไม่มีการใช้ถุงยางอนามัย

ทำไมยังต้องใช้ถุงยางอนามัย?

แม้ U=U จะพิสูจน์ได้ว่าผู้ที่มีปริมาณไวรัส HIV ต่ำจนตรวจไม่พบจะไม่สามารถแพร่เชื้อ HIV ได้ แต่การใช้ถุงยางอนามัยยังคงเป็นสิ่งสำคัญด้วยเหตุผลดังนี้:

  1. ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ: ถึงแม้ U=U จะป้องกันการแพร่เชื้อ HIV ได้ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้ เช่น หนองใน, ซิฟิลิส, ไวรัสตับอักเสบ หรือเริม ถุงยางอนามัยยังคงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการแพร่เชื้อโรคเหล่านี้
  2. ความสม่ำเสมอในการรับยา: การรักษาระดับปริมาณไวรัสให้ต่ำจนตรวจไม่พบต้องอาศัยการรับยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ หากมีการหยุดรับยา ลืมกินยา หรือขาดการรักษา ปริมาณไวรัสอาจกลับมาเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อ HIV ได้อีก การใช้ถุงยางอนามัยยังเป็นวิธีที่ปลอดภัยในการป้องกันเหตุการณ์นี้
  3. ป้องกันความเสี่ยงในระยะยาว: การตรวจปริมาณไวรัส HIV เป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ แม้ปริมาณไวรัสจะต่ำจนตรวจไม่พบ แต่การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยในช่วงที่ไม่ได้ตรวจปริมาณไวรัสหรือในช่วงที่มีความไม่แน่นอนในการรับยา อาจเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่เชื้อได้

U=U ใช้ได้กับทุกคนหรือไม่?

Undetectable เป็นแนวคิดที่ใช้ได้กับผู้ติดเชื้อ HIV ที่สามารถลดปริมาณไวรัสให้อยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ติดเชื้อ HIV จะสามารถลดปริมาณไวรัสในร่างกายได้ถึงระดับนี้ทันที กระบวนการลดไวรัสให้ต่ำจนตรวจไม่พบต้องอาศัยการรักษาที่สม่ำเสมอ บางคนอาจต้องใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะถึงระดับนี้ และมีบางกรณีที่ร่างกายของผู้ติดเชื้อไม่ตอบสนองต่อการรักษาได้ดี ทำให้ไม่สามารถลดปริมาณไวรัสได้ถึงระดับที่ตรวจไม่พบ

ข้อควรพิจารณาสำหรับการไม่ใช้ถุงยางอนามัย

การตัดสินใจที่จะมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยในบริบทของ U=U ควรพิจารณาหลายแง่มุม:

  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ: การไม่มี HIV ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความเสี่ยงจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ การใช้ถุงยางอนามัยยังคงมีประโยชน์ในการป้องกันโรคอื่นๆ ที่สามารถแพร่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์
  • การสื่อสารระหว่างคู่รัก: ความเข้าใจร่วมกันในสถานะสุขภาพของทั้งสองฝ่ายมีความสำคัญ ทั้งในเรื่องการตรวจปริมาณไวรัส HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ
  • ความมั่นใจในสถานะสุขภาพ: คู่รักควรตรวจสอบสุขภาพเป็นประจำ และปรึกษาแพทย์หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัยในความสัมพันธ์

ผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีปริมาณไวรัสที่ตรวจไม่พบไม่สามารถแพร่เชื้อ HIV ได้ แม้จะมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยก็ตาม อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจที่จะไม่ใช้ถุงยางอนามัยควรพิจารณาถึงความเสี่ยงจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ และความสม่ำเสมอในการรับยาต้านไวรัส

แม้ U=U จะเป็นสิ่งที่ช่วยลดความกังวลในการแพร่เชื้อ HIV แต่การใช้ถุงยางอนามัยยังคงเป็นวิธีที่ปลอดภัยและครอบคลุมที่สุดในการป้องกันทั้งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และ HIV โดยการสื่อสารและการตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้คู่รักสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ

Similar Posts

  • รักษาซิฟิลิส ไม่ต่อเนื่อง เสี่ยงอันตราย

    ว่าด้วยเรื่องของการ รักษาซิฟิลิส เพราะเป็นโรคที่ร้ายแรง และสามารถติดต่อไปสู่ผู้อื่นได้ง่าย โดยมีอาการที่ไม่ค่อยแสดงออกมา แต่อาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ดังนั้นการ รักษาซิฟิลิส จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค และช่วยให้ผู้ป่วยหายขาดได้อย่างแน่นอน ความสำคัญของการ รักษาซิฟิลิส โรคซิฟิลิส คือ สภาวะที่เกิดขึ้นจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันโจมตีเนื้อเยื่อภายในร่างกาย ซึ่งอาจเป็นอวัยวะ หรือเนื้อเยื่อต่างๆ ทำให้เกิดอาการอักเสบและความเสียหายต่อร่างกายได้ เชื้อซิฟิลิส เป็นโรคที่รุนแรงและเป็นอันตรายถ้าไม่ได้รับการรักษาซิฟิลิส ให้เหมาะสม การวินิจฉัยโรคซิฟิลิส จะใช้การตรวจเลือด และการตรวจเนื้อเยื่อ เพื่อหาสารที่เป็นตัวบ่งชี้ว่า การโจมตีเนื้อเยื่อจากระบบภูมิคุ้มกันหรือไม่ การรักษาโรคซิฟิลิส จะใช้ยาเข้าควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน หรือการผ่าตัดเพื่อเอาเนื้อเยื่อที่ถูกโจมตีออกจากร่างกาย อีกทั้งยังมีการรักษาโดยใช้เซลล์เอกซ์ไทร์ภูมิคุ้มกัน หรือการฉีดวัคซีนเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันด้วย สาเหตุของการเกิดโรคซิฟิลิส สาเหตุของโรคซิฟิลิสไม่เป็นที่รู้จักอย่างแน่ชัด แต่มีการวิจัยพบว่าโรคซิฟิลิสเกิดจากการผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันโจมตีเนื้อเยื่อภายในร่างกาย ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดการผิดปกตินี้ไม่เป็นที่รู้จักอย่างแน่ชัด แต่คาดว่าอาจมีความสัมพันธ์กับพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม เช่น ความเครียด การติดเชื้อ หรือการนำเข้าสารเคมีต่างๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ การวิจัยยังคงต้องทำต่อไปเพื่อให้เข้าใจสาเหตุและวิธีการป้องกันโรคซิฟิลิสให้ดียิ่งขึ้นได้ในอนาคต อาการของซิฟิลิส อาการของโรคซิฟิลิส จะแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ ของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่จะมีอาการเหมือนกัน อาการที่พบบ่อยที่สุดคือ ในบางกรณีอาจพบอาการแสดงอื่นๆ เช่น ผื่นขึ้นที่ผิวหนังหรืออาการเจ็บคอ การรักษาโรคซิฟิลิสจะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรียและความรุนแรงของอาการ โดยทั่วไปแล้วการรักษาจะใช้ยาปฏิชีวนะเป็นหลัก…

  • | | | |

    Untransmittable ความสำคัญที่เปลี่ยนแปลงชีวิตและสังคม

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “Untransmittable” ที่มาพร้อมแนวคิด “ตรวจไม่เจอ = ไม่แพร่เชื้อ” (U=U) ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแพทย์และสังคมทั่วโลก แนวคิดนี้ไม่เพียงแค่ช่วยปรับปรุงชีวิตของผู้ติดเชื้อ HIV แต่ยังเปลี่ยนแปลงทัศนคติและการยอมรับในสังคมต่อผู้ที่มีเชื้อ HIV ด้วย

  • |

    ไวรัสตับอักเสบบี มีสาเหตุมาจากอะไร?

    ไวรัสตับอักเสบบี เป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่ยังถูกพบจำนวนมาก ในประเทศไทย ซึ่งนำไปสู่โรคร้ายแรงต่อตับของร่างกาย ได้แก่ โรคมะเร็งตับ โรคตับแข็ง และโรคตับวาย เป็นต้น ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ทราบว่าตัวเองติดไวรัสตับอักเสบบีอยู่ เพราะไม่มีความรู้ความเข้าใจว่าโรคชนิดนี้มีสาเหตุมาจากอะไร โดยบทความนี้จะแสดงรายละเอียดถึงโรคไวรัสตับอักเสบบีทั้งหมด รู้จักไวรัสตับอักเสบบี โรคไวรัสตับอักเสบบี หรือภาษาอังกฤษว่า Hepatitis B virus : HBV เมื่อผู้ติดเชื้อได้รับไวรัสชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์ตับ การทำงานของตับเสื่อมลงเพราะเกิดพังผืดค่อยๆ เกาะหลายปี อันส่งผลให้มีภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และอาจกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด จากสถิติพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งตับร้อยละ 90 มีประวัติเคยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบมาก่อน อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบี ความเป็นจริง โรคไวรัสตับอักเสบบี ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะมีอาการแสดงออกมาให้เห็นชัดๆ หรือในบางรายจะเข้าสู่ระยะอาการแบบเฉียบพลันเท่านั้น และอาการส่วนใหญ่ที่สามารถสังเกตได้ คือ ประมาณ 10-20% ของคนที่ติดเชื้อไวรัสอักเสบบีจะหายจากโรคไปได้เอง เพราะภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล หากเข้าสู่ระยะเรื้อรังแล้ว ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อกันอย่างไร เชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะสามารถติดต่อกันผ่านทางเลือด และสารคัดหลั่งของมนุษย์เป็นหลัก การที่จะรู้ได้ว่าคุณติดเชื้อแล้วหรือไม่ จะต้องมีการเจาะเลือดตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีด้วยวิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี้ ความเสี่ยงเหล่านี้ อาจทำให้คุณติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี ได้ ไวรัสตับอักเสบบี…

  • ตรวจ STD ที่ไหนดี? รวมคลินิกและสถานที่ตรวจมาตรฐาน

    ในยุคที่เรื่องสุขภาพทางเพศเป็นสิ่งที่ทุกคนควรใส่ใจ “การตรวจ STD” หรือ การตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้คุณรู้เท่าทันสุขภาพของตนเอง ป้องกันการแพร่เชื้อ และรักษาได้ทันท่วงทีหากพบความผิดปกติ การตรวจไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่มีอาการ แต่เหมาะสำหรับทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือมีคู่นอนหลายคน ปัจจุบัน การตรวจ STD ไม่ได้ยุ่งยากหรือเป็นเรื่องน่าอายเหมือนในอดีตอีกต่อไป เพราะมีคลินิกเฉพาะทางและศูนย์บริการสุขภาพมากมายทั่วประเทศที่ให้บริการตรวจอย่างเป็นส่วนตัว ปลอดภัย และได้มาตรฐาน นอกจากนี้ยังมีระบบ จองตรวจออนไลน์ผ่าน Love2Test ที่ช่วยให้การ ตรวจ STD เป็นเรื่องง่าย รวดเร็ว และเป็นความลับ ตรวจ STD คืออะไร และสำคัญอย่างไร คำว่า STD (Sexually Transmitted Diseases) หมายถึง โรคที่ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก รวมถึงการสัมผัสของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่น หรือเลือด โรคเหล่านี้อาจไม่มีอาการชัดเจนในระยะเริ่มต้น แต่สามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว การตรวจ STD จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการเฝ้าระวังสุขภาพ เพราะช่วยให้ค้นพบการติดเชื้อตั้งแต่เนิ่น ๆ และเข้าสู่การรักษาได้เร็วที่สุด การรู้ผลเร็วไม่เพียงช่วยป้องกันการลุกลามของโรคเท่านั้น…

  • | | |

    ทำความเข้าใจก่อนใช้ยาเพร็พ และยาเป๊ป

    สิ่งสำคัญของยาต้านไวรัสเอชไอวีคือ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี ทั้งก่อนและหลังการสัมผัสเชื้อ หากพูดถึงวิธีป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี คนส่วนใหญ่จะนึกถึงการสวมถุงยางอนามัย ซึ่งเป็นวิธีป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อที่ปลอดภัย และลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากใช้ร่วมกับยาต้านไวรัสเอชไอวี ก็อาจช่วยลดความเสี่ยงได้มากขึ้น แต่ต้องใช้อย่างถูกต้อง ซึ่งโดยคนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยาต้านเอชไอวี PrEP และPEP  ว่าทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีอย่างไร เราจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี PrEP และ PEP คืออะไร? เพร็พ (PrEP-Pre-Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสเอชไอวี ที่ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีสำหรับผู้ที่มีผลเลือดเป็นลบ หรือเป็นการใช้ยาเพื่อเตรียมตัวไว้ก่อนจะมีโอกาสได้สัมผัสเชื้อ เป๊ป (PEP- Post-Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสฉุกเฉิน สำหรับผู้ที่มีผลเลือดเป็นลบที่เพิ่งได้สัมผัสเชื้อมาไม่เกิน 72 ชั่วโมง PrEP & PEP ทำงานอย่างไร? กลไกของยา PrEP จะไปสะสมอยู่ในเม็ดเลือดขาวในเลือดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งอวัยวะที่เป็นช่องทางเข้าของเชื้อเอชไอวี เช่น ช่องคลอด ปากมดลูก ปากทวารหนัก เยื่อบุอวัยวะสืบพันธุ์ชาย ฯลฯ เมื่อเชื้อเอชไอวี เข้าไปในร่างกายในช่องทางดังกล่าว เชื้อก็จะถูกยาที่สะสมอยู่ก่อนหน้านั้นยับยั้งไม่ให้แบ่งตัว…

  • อะไรคือ เพร็พกับเป๊ป

    เพร็พกับเป๊ป นั้นมีความแตกต่างกันในแง่ของสถานการณ์การใช้งาน ยาเพร็พ (PrEP) หรือภาษาอังกฤษที่ว่า Pre-Exposure Prophylaxis คือ ยาที่ใช้รับประทานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนที่จะมีความเสี่ยง เรียกง่ายๆ ว่าเป็นยาที่ทานก่อนมีเซ็กส์นั่นเอง ส่วนยาเป๊ป (PEP) ภาษาอังกฤษเรียกว่า Post-Exposure Prophylaxis คือ ยาที่ใช้รับประทาน เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังมีความเสี่ยง หรือทานในกรณีฉุกเฉินไม่เกินระยะเวลา 72 ชั่วโมง ซึ่งตัวยาทั้งสองนี้ช่วยให้คนที่มีความเสี่ยงสูง ในการติดเชื้อเอชไอวี ได้รับการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย เพร็พกับเป๊ป คืออะไร? คือ ยาชนิดรับประทานที่มีประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ ได้แก่ ยาเพร็พ PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) คือ การใช้ยาเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ก่อน ที่จะมีความเสี่ยง ซึ่งมีตัวยาสำคัญใน 1 เม็ดประกอบไปด้วย Emtricitabine (FTC) ขนาด 200 มิลลิกรัม และ Tenofovir (TDF) ขนาด 300 มิลลิกรัม หลังจากที่คุณใช้เพร็พแล้ว…