กามโรคเป็นแล้วรักษาหายได้ไหม?

กลุ่มโรคที่เกิดจากการติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรคหรือคนที่ติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทางทวารหนัก เดิมมีชื่อว่า กามโรค (venereal diseases) ในปัจจุบันมีการค้นพบโรคในกลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้นจึงเปลี่ยนชื่อเป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (sexually transmitted infections, STIs) โรคที่สำคัญคือ ซิฟิลิส หนองในแท้ หนองในเทียม เริม และเอชพีวี

กามโรค (Venereal Disease)  คืออะไร

กามโรค (Venereal Disease) คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) หรือการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) เป็นโรคที่แพร่เชื้อกันเมื่อมีเพศสัมพันธ์ทั้งการสอดใส่ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทำออรัลเซ็กส์ ซึ่งติดต่อจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสผิวหนังที่เป็นโรค หรือสัมผัสเลือด อสุจิ เมือกในช่องคลอด และของเหลวอื่น ๆ ที่มาจากร่างกาย ทั้งนี้

กามโรคติดต่อกันได้โดยไม่ใช่จากการร่วมเพศเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการติดต่อทางสายเลือด การถ่ายเลือด การใช้เข็มหรือสิ่งของที่สัมผัสเลือด มูก หรือของเหลวของผู้ป่วยที่มีเชื้อ

กามโรคเชื้อร้ายกลายพันธุ์ พัฒนาเป็น ซูเปอร์กามโรค 4 ชนิด

1. เชื้อไนซีเรีย เมนิงไจไทดิส (Neisseria meningitidis)

ไนซีเรีย เมนิงไจไทดิส เป็นเชื้อแบคทีเรีย ที่ก่อให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และโรคติดเชื้อเมนิงโกค็อกคัส หรือไข้กาฬหลังแอ่น  บ่อยครั้งเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ก่อให้เกิดอาการติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ เชื้อไนซีเรีย เมนิงไจไทดิส อยู่ในลำคอและโพรงจมูกทางด้านหลัง การแพร่เชื้อแบคทีเรียดังกล่าวไปยังคู่นนอน ผ่านการทำออรัลเซ็กส์ การจูบแบบดูดดื่ม หรือการกระทำอื่น ๆ ที่ถ่ายทอดเชื้อจากละอองเสมหะ

2. เชื้อไมโคพลาสมา เจนิตาเลียม (Mycoplasma genitalium)

ไมโคพลาสมา เจนิตาเลียม เป็นหนึ่งในเชื้อแบคทีเรียขนาดเล็กที่สุด โดยผู้ติดเชื้อไมโคพลาสมา เจนิตาเลียม ส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการใด ๆ อย่างไรก็ตาม เชื้อชนิดนี้สามารถทำให้เกิดอาการคล้ายโรคหนองในเทียม (Chlamydia) และโรคหนองในแท้ (Gonorrhoea) ซึ่งก่อให้เกิดอาการระคายเคืองที่ท่อปัสสาวะ และปากมดลูก และอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ ส่งผลให้มันอาจทำให้เกิดภาวะเป็นหมัน มีบุตรยาก การแท้งบุตร และทารกคลอดก่อนกำหนด 

3. โรคบิดจากเชื้อชิเกลลา เฟล็กซ์เนอรี (Shigella flexneri)

โรคบิดไม่มีตัว หรือโรคบิดชิเกลลา แพร่สู่กันผ่านการสัมผัสทางตรงและทางอ้อมกับอุจจาระมนุษย์ ผู้ติดเชื้อจะมีอาการปวดท้องรุนแรง และถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือด 

4. ฝีมะม่วง (Lymphogranuloma Venereum หรือ LGV)

โรคฝีมะม่วง หรือกามโรคต่อมน้ำเหลือง เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง เกิดจากเชื้อแบคทีเรียคลาไมเดีย ทราโคมาติส ( Chlamydia Trachomatis) ผู้ป่วยโรคฝีมะม่วง ในช่วงเริ่มแรกจะมีตุ่มนูน ใส หรือ แผลขนาดเล็กเกิดขึ้นที่อวัยวะเพศ และหายไปเองภายใน 2-3 วันโดยที่ผู้ป่วยมักไม่ทันได้สังเกตพบ ต่อมาต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบจะบวมโตติดกันเป็นก้อนฝีขนาดใหญ่ และเจ็บมาก ตรงกลางเป็นร่องของพังผืดคล้ายร่องของมะม่วงอกร่อง จึงเรียกว่า ฝีมะม่วง ซึ่งอาจเกิดโรคเพียงข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ ผิวหนังบริเวณที่เป็นฝีจะมีอาการอักเสบมีลักษณะบวมแดงร้อนร่วมด้วย บางคนอาจปวดฝีมากจนเดินไม่ถนัด บางครั้งจะทำให้อัณฑะบวม หรือบริเวณปากช่องคลอดบวมมาก ในผู้มีอาการหนักจะมีอาการอักเสบที่ช่องทวารหนักอย่างมาก (Ulcerative proctitis) มีอาการปวดก้น อยากถ่ายอุจจาระตลอดเวลา มีหนองไหลทางรูทวาร และมีเลือดออกทางทวารหนักได้

อาการของกามโรค

ผู้ที่ติดเชื้อกามโรคจะแสดงอาการของโรคแตกต่างกันไปตามชนิดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ได้รับเชื้อ ซึ่งอาจปรากฏอาการของโรคที่ส่งผลต่ออวัยวะสืบพันธุ์อย่างเดียว หรือส่งผลต่ออวัยวะส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกาย โดยแบ่งมี 3 ระยะ

  • ระยะที่หนึ่ง เชื้อที่เข้าสู่ร่างกายทางรอยแผล รอยถลอก บริเวณที่ติดเชื้อจะเกิด Trombolymphangitis กลายเป็นตุ่มหรือแผลตื้นๆ
  • ระยะที่สอง เรียกว่า inguinal syndrome เชื้อจะลุกลามไปตามท่อน้ำเหลือง ทำให้เกิดการอักเสบที่ต่อมน้ำเหลือง inguinal และ femeral กลายเป็นฝีมะม่วง ระยะนี้ มักพบผู้ป่วยเข้าพบแพทย์มากที่สุด ซึ่งแพทย์สามารถแยกแยะโรคฝีมะม่วง และแผลริมอ่อนได้ง่ายขึ้น
  • ระยะที่สาม เรียกว่า anogenitorectal sybdrome ในระยะท้ายของโรคเกิดขึ้นใน 1-2 ปี ให้หลัง ซึ่งการอักเสบจะสิ้นสุดลง

และบางรายก็อาจไม่ปรากฏอาการใด ๆ เลย โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ติดเชื้อกามโรคอาจมีอาการดังนี้

  • มีตุ่ม หรือแผลขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ในช่องปาก หรือทวารหนัก
  • เจ็บหรือแสบร้อนขณะปัสสาวะ
  • ผู้หญิงมีตกขาวออกมาก หรือมีกลิ่นผิดปกติ ส่วนผู้ชายพบน้ำหรือหนองออกมาจากปลายองคชาต
  • รู้สึกเจ็บระหว่างสอดใส่ขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ต่อมน้ำเหลืองบวมโตและทำให้รู้สึกแสบ โดยเฉพาะบริเวณขาหนีบ
  • เจ็บหรือปวดบริเวณท้องน้อย
  • ไข้ขึ้น ปวดเมื่อย และรู้สึกหนาวเย็น
  • ระคายเคืองผิวบริเวณอวัยวะเพศอย่างมาก และมีผื่นขึ้นตามมือ แขน และเท้า
  • น้ำหนักลด

ผู้ติดเชื้อกามโรคจะมีอาการดังกล่าวหลังจากได้รับเชื้อมาภายใน 2-3 วัน บางรายอาจใช้เวลาเป็นปีจึงจะแสดงอาการของโรค ซึ่งขึ้นอยู่กับระบบการทำงานของร่างกายผู้ป่วย ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อกามโรคที่ไม่แสดงอาการในทันที อาการของโรคอาจแสดงภายหลัง รวมทั้งอาจแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ ผู้ที่ได้รับเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จึงควรไปพบแพทย์ทันทีหลังได้รับเชื้อจากการร่วมเพศและเมื่อเกิดอาการของโรค

สาเหตุของกามโรค

สาเหตุที่ทำให้เกิดการติดเชื้อของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้แก่ เชื้อแบคทีเรีย ปรสิต และไวรัส นอกจากนี้ การมีเพศสัมพันธ์ถือเป็นช่องทางแพร่กระจายการติดเชื้ออื่น ๆ เช่น ไวรัสตับอักเสบเอ บี และซี โรคบิดจากเชื้อชิเกลล่า (Shigella) หรือโรคอุจจาระร่วงจากเชื้อไกอาร์เดีย (Giardia Intestinalis)

ปัจจัยเสี่ยงทำให้ติดเชื้อกามโรค ได้แก่

  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ผู้ที่ไม่สวมถุงยางอนามัยเมื่อต้องสอดใส่ตอนร่วมเพศย่อมเสี่ยงติดเชื้อกามโรคสูง ซึ่งรวมไปถึงผู้ที่ใช้ถุงยางอนามัยไม่ถูกต้องหรือไม่ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ การทำออรัลเซ็กส์ (Oral Sex) ก็เสี่ยงติดเชื้อได้เช่นกันหากไม่ใส่ถุงยางอนามัยหรือแผ่นยางป้องกันการติดเชื้อสำหรับทำออรัลเซ็กส์ (Dental Dam)
  • ร่วมเพศกับคู่นอนหลายคน ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนหลายคนมักเสี่ยงติดเชื้อกามโรค โดยผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ย่อมเสี่ยงติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สูง
  • มีประวัติป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีประวัติป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ย่อมแพร่เชื้อไปยังคู่นอนของตนได้ง่าย
  • ถูกขืนใจ ผู้ที่ถูกบังคับให้ร่วมเพศหรือถูกล่วงละเมิดทางเพศนั้น มีโอกาสเสี่ยงติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ผู้ที่ถูกขืนใจควรได้รับการตรวจและรับการรักษาทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
  • ร่วมเพศทางทวารหนัก ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กันทางทวารหนักและไม่สวมถุงยางอนามัยป้องกันนั้น มีโอกาสเสี่ยงรับเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
  • ใช้สารเสพติด ผู้ที่ใช้เข็มร่วมกับผู้อื่นเสี่ยงติดเชื้อจากโรคทางเพศสัมพันธ์หลายโรค ได้แก่ เชื้อเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบซี ทั้งนี้ ผู้ที่ใช้สารเสพติดมักมีพฤติกรรมเสี่ยงซึ่งนำไปสู่การติดต่อกามโรค

การวินิจฉัยกามโรค

การตรวจกามโรคจะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ว่าผู้ป่วยติดเชื้อเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โรคใด โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติการป่วยหรือได้รับเชื้อกามโรค  และยังช่วยระบุสาเหตุการติดเชื้อที่เกิดขึ้นได้ โดยแพทย์อาจเจาะเลือด เก็บตัวอย่างปัสสาวะหรือสารคัดหลั่งเพื่อนำไปตรวจในห้องทดลอง

ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับเชื้อแต่ไม่แสดงอาการของโรคก็อาจต้องได้รับการตรวจคัดกรองด้วย ซึ่งบุคคลต่อไปนี้อาจเข้ารับการตรวจเพื่อคัดกรองการติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้

  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทุกราย สามารถเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวี
  • สตรีมีครรภ์ต้องได้รับการตรวจเพื่อคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบี ซิฟิลิส ซึ่งการตรวจคัดกรองโรคเหล่านี้ แพทย์มักตรวจในการฝากครรภ์ครั้งแรก นอกจากนี้ สตรีมีครรภ์ที่เสี่ยงติดเชื้อสูงอาจต้องได้รับการตรวจหนองในแท้และไวรัสตับอักเสบซีระหว่างตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 ครั้ง
  • ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์หรืออายุ 21 ปีขึ้นไป ควรพบแพทย์เพื่อตรวจภายใน ซึ่งจะช่วยตรวจหาความผิดปกติเกี่ยวกับปากมดลูกอย่างโรคมะเร็งหรือการติดเชื้ออันทำให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศ
  • ผู้หญิงอายุต่ำกว่า 25 ปี ซึ่งเสี่ยงติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ควรได้รับการตรวจหนองในเทียม โดยแพทย์จะเก็บตัวอย่างปัสสาวะหรือสารคัดหลั่งจากช่องคลอดเพื่อนำไปตรวจ
  • ผู้ชายที่ร่วมเพศกับเพศเดียวกันเสี่ยงติดเชื้อกามโรคได้สูงกว่ากลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์รูปแบบอื่น จึงควรได้รับการตรวจคัดกรองเชื้อเอชไอวี ซิฟิลิส หนองในเทียม และหนองในแท้ โดยอาจตรวจปีละครั้งหรือมากกว่านั้น นอกจากนี้ อาจต้องตรวจไวรัสตับอักเสบบีด้วย
  • ผู้ติดเชื้อเอชไอวีเสี่ยงติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นได้สูง หากได้รับการวินิจฉัยว่าได้รับเชื้อเอชไอวี แพทย์อาจต้องตรวจหาซิฟิลิส หนองในแท้ หนองในเทียม และโรคเริมด้วย รวมทั้งตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบซี ส่วนผู้หญิงที่ติดเชื้อเอชไอวีมักเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก จึงควรตรวจภายในหลังจากแพทย์วินิจฉัยว่าติดเชื้อเอชไอวี
  • ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อกามโรคทั้งคู่ก่อนมีเพศสัมพันธ์กัน

กลุ่มเสี่ยงจต่อการติดเชื้อโรค

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน กรณีนี้จะเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อได้อย่างมาก หากไม่มีการสวมใส่ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์  ทำให้เกิดความเสี่ยงในการติดโรคได้  การมีเพศสัมพันธ์ทางปากอาจทำให้เกิดความเสี่ยงได้น้อยกว่าแต่ก็พบได้มากเช่นกัน
  • เปลี่ยนคู่นอนบ่อยหรือมีคู่นอนหลายคน การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ จะเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อได้มากขึ้น
  • มีประวัติของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หากเคยมีประวัติของการติดเชื้อแล้ว โอกาสที่จะติดเชื้อซ้ำสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าปกติ
  • มีกิจกรรมทางเพศที่ไม่เต็มใจ หากถูกกระทำชำเราหรือทำร้ายร่างกาย  คุณควรพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อรับการดูแลจิตใจและป้องกันการติดโรค
  • การดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้สารเสพติด สิ่งเหล่านี้มีส่วนทำให้คุณขาดความยับยั้งชั่งใจ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงของการมีเพศสัมพันธ์ได้
  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น การใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น จะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อร้ายแรงหลายชนิด เช่น ติดเชื้อเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบีและไวรัสตับอักเสบซี
  • 50% ของอายุผู้ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อยู่อายุระหว่าง 15 ถึง 24 ปี

การติดเชื้อจากมารดาสู่ทารก

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางอย่าง เช่น หนองใน หนองในเทียม เอชไอวี และซิฟิลิส สามารถติดต่อจากแม่ไปยังลูกระหว่างตั้งครรภ์หรือคลอดได้ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในทารกอาจทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงหรือถึงขั้นเสียชีวิตได้

ดังนั้นสตรีมีครรภ์ที่ได้รับเชื้อกามโรค ต้องได้รับการรักษาทันทีเพื่อป้องกันหรือลดโอกาสเสี่ยงที่ทารกในครรภ์จะได้รับเชื้อจากมารดา 

การรักษากามโรค

แต่ละโรคมีวิธีรักษาที่แตกต่างกันไป โดยทั่วไปแล้ว โรคเหล่านี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัส โดยโรคเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียนั้นรักษาให้หายได้ง่ายกว่า ส่วนโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสทำได้โดยดูแลอาการไม่ให้กำเริบได้ แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด วิธีดูแลและรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ประกอบด้วยการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ยาต้านไวรัส และการฉีดวัคซีน ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

  • ยาปฏิชีวนะ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือปรสิตนั้นรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ ได้แก่ หนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส  และเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะต้องได้รับการรักษาจนครบกำหนด นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะได้รับการรักษาจนครบกำหนดและแผลหายดี
  • ยาต้านไวรัส ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคเริมควรได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส แต่อาจทำให้คู่นอนของผู้ป่วยติดเชื้อได้ นอกจากนี้ ยาต้านไวรัสยังใช้รักษาผู้ป่วยเชื้อเอชไอวี อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อได้แม้จะมีโอกาสเสี่ยงต่ำก็ตาม ทั้งนี้ การรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง จะช่วยลดจำนวนเชื้อไวรัสให้น้อยลงจนตรวจหาแทบไม่พบ
  • การฉีดวัคซีน วัคซีนที่ใช้ป้องกันกามโรคได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพประกอบด้วย วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีและไวรัสรักษาเชื้อเอชพีวี ทั้งนี้ วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีจัดอยู่ในวัคซีนฟรีสำหรับเด็กไทยทุกคนด้วย

ภาวะแทรกซ้อนจากกามโรค

ผู้ที่ได้รับเชื้อกามโรคซึ่งอยู่ในระยะแรก ควรได้รับการตรวจโรคเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หากไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้ ดังนี้

  • ปวดท้องน้อย 
  • ปวดกระดูกเชิงกราน หรืออักเสบ
  • ภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์
  • ทารกติดเชื้อที่ดวงตา
  • เกิดอาการข้ออักเสบ
  • เกิดการติดเชื้อที่อุ้งเชิงกราน
  • เกิดภาวะมีบุตรยาก
  • ป่วยเป็นโรคหัวใจ
  • ป่วยเป็นโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งตับจากไวรัสตับเสบบีและซี เป็นต้น

การป้องกันกามโรค

ทำได้โดยเริ่มจากการป้องกันการติดเชื้อ รวมทั้งดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อแล้วไม่ให้แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น วิธีป้องกันกามโรคมีดังนี้

  • งดการมีเพศสัมพันธ์
  • ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องเป็นประจำ การใช้ถุงยางอนามัยเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรค ไม่ควรใช้น้ำมันหล่อลื่นที่เป็นน้ำมัน เช่น ปิโตรเลียมเจลลี่กับถุงยางอนามัย
  • ควรมีคู่ครองเพียงคนเดียว ถือเป็นอีกวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้ติดเชื้อกามโรค 
  • ตรวจสอบคู่นอนของคุณให้แน่ใจว่าไม่มีโรคติดต่อใดๆ หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนใหม่ จนกว่าคุณทั้งคู่จะได้รับการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่คลีนิคกามโรค
  • รับการฉีดวัคซีน การได้รับวัคซีนก่อนการมีเพศสัมพันธ์สามารถช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางประเภทได้
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และไม่ควรใช้ยาเสพติด
  • พูดคุยกับคู่นอนของคุณก่อนการมีเพศสัมพันธ์
  • การป้องกันโรคก่อนมีเพศสัมพันธ์ เพร็พ (PrEP) เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อเอชไอวี

วิธีดูแลและป้องกันการแพร่เชื้อ

การดูแลอาการของโรค และป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ โดยปฏิบัติดังนี้

  • หยุดมีเพศสัมพันธ์ และเข้ารับการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำในการรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ และไม่ควรมีเพศสัมพันธ์หากไม่ได้รับอนุญาตจากแพทย์ รวมทั้งคู่นอนต้องได้รับการรักษาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เป็นอยู่จนหายก่อน

อ่านบทความอื่นๆ

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ :

  • กามโรค https://www.pobpad.com/กามโรค
  • กามโรค เชื้อร้ายกลายพันธุ์ พัฒนาเป็น “ซูเปอร์กามโรค” 4 ชนิดที่สร้างความกังวลทางสาธารณสุข
    https://www.bbc.com/thai/features-47116825
  • กามโรค (Venereal Disease) : อาการ สาเหตุ การรักษา https://cth.co.th/venereal-disease/

Similar Posts

  • ดูแลตัวเองอย่างไร ?…เมื่อเป็นโรคซิฟิลิส  

    โรคซิฟิลิสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า ทริปโปนีมา พัลลิดุม (Treponema Pallidum) จากการสัมผัสถูกเชื้อโดยตรงจากแผลของผู้ป่วย และระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ที่มักสุ่มเสี่ยงกับการติดเชื้อได้มากที่สุด จึงมักถูกจัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคซิฟิลิสคือ? ซิฟิลิส (Syphilis) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ทรีโพนีมาพาลลิดัม (Treponema pallidum)  โดยปกติจะติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้เกิดผื่นหรือแผลตามผิวหนัง และ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงขึ้นหากไม่รักษา โดยทั่วไปโรคซิฟิลิสจะเริ่มจากบาดแผล ซึ่งมักพบบริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก ลักษณะของแผลจะเป็นแผลที่ไม่รู้สึกเจ็บ (Painless sore) หรือเรียกว่าแผลริมแข็ง (Chancre) การแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่นสามารถเกิดได้ผ่านทางการสัมผัสบาดแผลนี้กับผิวหนังหรือเยื่อบุต่างๆ ระยะฟักตัวของโรค หลังจากที่ได้รับเชื้อ ก็มักจะแสดงอาการภายใน 10 – 90 วัน โรคซิฟิลิส ติดต่อกันได้อย่างไร สามารถรับเชื้อซิฟิลิสได้ 3 ทาง คือ ทางเพศสัมพันธ์ โดยติดต่อผ่านทางเยื่อบุช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ติดต่อผ่านการสัมผัสแผลที่มีเชื้อ โดยผ่านทางผิวหนัง เยื่อบุตา ปาก จากแม่สู่ลูก โดยหากมารดาเป็นซิฟิลิส จะถ่ายทอดโรคนี้สู่ทารกในครรภ์ได้ โดยเรียกเด็กที่เป็นซิฟิลิสจากสาเหตุนี้ว่า ซิฟิลิสแต่กำเนิด (Congenital…

  • |

    แผลริมอ่อน (Chancroid) 

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ กลุ่มโรคที่เกิดจากการติดต่อผ่านทางเพศกับคนที่เป็นโรค หรือคนที่ติดเชื้อ ทั้งจากการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก และสามารถติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ ผ่านการถ่ายโอนเลือด หรือการใช้เข็มร่วมกันได้เหมือนกัน  โรคแผลริมอ่อน (Chancroid)  คืออะไร แผลริมอ่อน หรือ ซิฟิลิสเทียม (Chancroid, Soft chancre, Ulcus molle หรือ Weicher Schanker)  เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus Ducreyi  เกิดขึ้นได้ทั้งในเพศชาย และเพศหญิง จะทำให้เกิดแผลที่อวัยวะเพศ และต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตติดกันเป็นพืดและเจ็บ ซึ่งโรคนี้ติดต่อได้ง่าย แต่ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์สั่ง หากไม่รักษาจะเป็นสาเหตให้เกิดการติดเชื้อ HIV ได้ง่าย  หมายเหตุ  โรคแผลริมอ่อน บางครั้งเรียกว่า โรคซิฟิลิสเทียม เนื่องจากทำให้เกิดแผลได้เช่นเดียวกันกับโรคซิฟิลิส แต่จะแตกต่างกันตรงที่แผลริมอ่อน (ซิฟิลิสเทียม) จะมีอาการเจ็บ และปวด แต่แผลซิฟิลิสจะไม่เจ็บและปวด ระยะฟักตัวของโรค หลังจากที่ได้รับเชื้อ อยู่ในช่วง 1 วัน-2 สัปดาห์ แต่เฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 5-7 วัน…

  • ตรวจ STD ที่ไหนดี? รวมคลินิกและสถานที่ตรวจมาตรฐาน

    ในยุคที่เรื่องสุขภาพทางเพศเป็นสิ่งที่ทุกคนควรใส่ใจ “การตรวจ STD” หรือ การตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้คุณรู้เท่าทันสุขภาพของตนเอง ป้องกันการแพร่เชื้อ และรักษาได้ทันท่วงทีหากพบความผิดปกติ การตรวจไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่มีอาการ แต่เหมาะสำหรับทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือมีคู่นอนหลายคน ปัจจุบัน การตรวจ STD ไม่ได้ยุ่งยากหรือเป็นเรื่องน่าอายเหมือนในอดีตอีกต่อไป เพราะมีคลินิกเฉพาะทางและศูนย์บริการสุขภาพมากมายทั่วประเทศที่ให้บริการตรวจอย่างเป็นส่วนตัว ปลอดภัย และได้มาตรฐาน นอกจากนี้ยังมีระบบ จองตรวจออนไลน์ผ่าน Love2Test ที่ช่วยให้การ ตรวจ STD เป็นเรื่องง่าย รวดเร็ว และเป็นความลับ ตรวจ STD คืออะไร และสำคัญอย่างไร คำว่า STD (Sexually Transmitted Diseases) หมายถึง โรคที่ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก รวมถึงการสัมผัสของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่น หรือเลือด โรคเหล่านี้อาจไม่มีอาการชัดเจนในระยะเริ่มต้น แต่สามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว การตรวจ STD จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการเฝ้าระวังสุขภาพ เพราะช่วยให้ค้นพบการติดเชื้อตั้งแต่เนิ่น ๆ และเข้าสู่การรักษาได้เร็วที่สุด การรู้ผลเร็วไม่เพียงช่วยป้องกันการลุกลามของโรคเท่านั้น…

  • |

    ไวรัสตับอักเสบบี มีสาเหตุมาจากอะไร?

    ไวรัสตับอักเสบบี เป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่ยังถูกพบจำนวนมาก ในประเทศไทย ซึ่งนำไปสู่โรคร้ายแรงต่อตับของร่างกาย ได้แก่ โรคมะเร็งตับ โรคตับแข็ง และโรคตับวาย เป็นต้น ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ทราบว่าตัวเองติดไวรัสตับอักเสบบีอยู่ เพราะไม่มีความรู้ความเข้าใจว่าโรคชนิดนี้มีสาเหตุมาจากอะไร โดยบทความนี้จะแสดงรายละเอียดถึงโรคไวรัสตับอักเสบบีทั้งหมด รู้จักไวรัสตับอักเสบบี โรคไวรัสตับอักเสบบี หรือภาษาอังกฤษว่า Hepatitis B virus : HBV เมื่อผู้ติดเชื้อได้รับไวรัสชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์ตับ การทำงานของตับเสื่อมลงเพราะเกิดพังผืดค่อยๆ เกาะหลายปี อันส่งผลให้มีภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และอาจกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด จากสถิติพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งตับร้อยละ 90 มีประวัติเคยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบมาก่อน อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบี ความเป็นจริง โรคไวรัสตับอักเสบบี ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะมีอาการแสดงออกมาให้เห็นชัดๆ หรือในบางรายจะเข้าสู่ระยะอาการแบบเฉียบพลันเท่านั้น และอาการส่วนใหญ่ที่สามารถสังเกตได้ คือ ประมาณ 10-20% ของคนที่ติดเชื้อไวรัสอักเสบบีจะหายจากโรคไปได้เอง เพราะภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล หากเข้าสู่ระยะเรื้อรังแล้ว ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อกันอย่างไร เชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะสามารถติดต่อกันผ่านทางเลือด และสารคัดหลั่งของมนุษย์เป็นหลัก การที่จะรู้ได้ว่าคุณติดเชื้อแล้วหรือไม่ จะต้องมีการเจาะเลือดตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีด้วยวิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี้ ความเสี่ยงเหล่านี้ อาจทำให้คุณติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี ได้ ไวรัสตับอักเสบบี…

  • | | | | |

    Undetectable แล้วไม่ป้องกันได้ไหม ปลอดภัยจริงไหม?

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิด หรือ “U=U” ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแพทย์และสาธารณสุข โดยคำว่า “Undetectable” หมายถึงการที่ปริมาณไวรัส HIV ในเลือดของผู้ติดเชื้อลดต่ำจนไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยการทดสอบมาตรฐาน ซึ่งเกิดจากการที่ผู้ติดเชื้อได้รับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัส (ART) อย่างสม่ำเสมอ แนวคิด U=U เป็นที่ยอมรับทางวิทยาศาสตร์ว่า ผู้ที่มีปริมาณไวรัส HIV ต่ำจนตรวจไม่พบ ไม่สามารถแพร่เชื้อให้คู่นอนผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้ อย่างไรก็ตาม คำถามที่หลายคนยังคงสงสัยคือ ถ้าไวรัสตรวจไม่พบแล้ว สามารถมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยได้ไหม และมันปลอดภัยจริงหรือ?

  • เคล็ดลับห่างไกลจาก โรค HPV

    โรค HPV มีเคล็ดลับในการป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อ ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพ ได้แก่ หูดที่อวัยวะเพศ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก และมะเร็งในช่องปาก เป็นต้น การป้องกันไม่ให้ติดเชื้อไวรัสเอชพีวีเกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีน การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ ในบทความนี้ เราจะอธิบายถึงมาตรการป้องกันเพื่อที่จะสามารถลดความเสี่ยงในการรับติด โรค HPV ได้อย่างมีประโยชน์สูงสุด