รักษาหูดข้าวสุก ด้วยตัวเอง ทำได้หรือไม่

หลายคนสงสัยว่าการ รักษาหูดข้าวสุก นั้นสามารถทำได้ด้วยตัวเองจริงหรือเปล่า ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทำได้ยากเพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าติดเชื้อมาตอนไหน และลักษณะของตุ่มก็มีความคล้ายคลึงกับโรคผิวหนังชนิดอื่นด้วย หากคิดจะ รักษาหูดข้าวสุก ควรทำการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้โดยตรงจะดีที่สุด ซึ่งวันนี้ เราจะมาแนะนำเรื่องเกี่ยวกับการรักษาหูดข้าวสุกและการป้องกันที่คุณควรรู้เพื่อจะได้ห่างไกลจากโรคนี้ได้ครับ

หูดข้าวสุก คือโรคอะไรกันแน่?

โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Molluscum Contagiosum Virus : MCV (มอลลัสคุม คอนทาจิโอซุมไวรัส) เป็นเชื้อไวรัสที่อยู่ในกลุ่มพอกซ์ไวรัส (Poxvirus) ที่มักพบในบริเวณผิวหนังชั้นนอกเท่านั้น โดยจะแบ่งออกเป็นไวรัส MCV 4 ชนิดย่อย แต่ชนิดที่ 1 จะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดหูดข้าวสุกได้มากกว่า 95% แลไวรัสนี้ไม่มีผลต่อระบบภายในร่างกาย รวมไปถึงไม่แพร่กระจายโดยการจามหรือไอ ถือเป็นโรคผิวหนังที่สามารถติดต่อกันได้ในทุกเพศทุกวัย ซึ่งเชื้อจะเข้าไปในบริเวณผิวหนังที่เป็นแผล ลอก แตก จนทำให้เกิดตุ่มเนื้อ และมีรอยนูนขนาดเล็กทั่วร่างกาย แต่จะไม่ขึ้นตุ่มที่ฝ่ามือฝ่าเท้า เหมือนกับโรคซิฟิลิส และไม่ได้ส่งผลต่อระบบอวัยวะภายในมากนัก

อาการของโรคหูดข้าวสุก

ถึงแม้ว่า โรคนี้จะไม่ได้มีอาการที่รุนแรง แต่ทุกคนก็ควรได้รับการ รักษาหูดข้าวสุก ระยะฟักตัวตั้งแต่ได้รับเชื้อไวรัสนี้มาจะเกิดอาการประมาณ 14 วันขึ้นไป ถึง 6 เดือน โดยอาการที่อาจสังเกตพบได้ มีดังต่อไปนี้

  • มีตุ่มขนาดเล็ก ประมาณ 2–5 มิลลิเมตร สีเหมือนกับผิวธรรมชาติ หรือบางรายอาจมีสีขาวหรือชมพู
  • ลักษณะตุ่มผิวสัมผัสมีความเงา และเรียบ เป็นรูปทรงโดม หรือมีรอยบุ๋มตรงกลางตุ่ม หากกดหรือบีบจะมีเนื้อหูดเละสีขาวคล้ายข้าวสุกไหลออกมา
  • อาจพบเป็นตุ่มเดี่ยวกระจายทั่วร่างกาย หรืออยู่กระจุกกันเป็นกลุ่มหลายตุ่ม ที่บริเวณใบหน้า รอบดวงตา หน้าท้อง ลำตัว แขนขา ลำคอ ข้อพับ ขาหนีบ ต้นขาด้านใน อวัยวะเพศ เป็นต้น
  • ตุ่มที่เกิดขึ้นไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ หรือคัน แต่อาจมีอาการบวมแดง หรืออาการอักเสบร่วมด้วย
  • ในกลุ่มผู้ป่วยโรคหูดข้าวสุกที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ หรือมีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อการต้านทานต่อเชื้อไวรัสจะยิ่งทำให้ตุ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นและคงอยู่นาน ยากต่อการรักษา

เราติดโรคหูดข้าวสุกได้จากช่องทางไหน?

ไวรัสที่ทำให้เป็นโรคนี้จะติดต่อผ่านการสัมผัสโดนบริเวณที่มีเชื้อโดยตรงเป็นหลัก เช่น สิ่งของเครื่องใช้ที่มีเชื้อไวรัสนี้อยู่ (ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า รองเท้า อุปกรณ์กีฬา สระว่ายน้ำ อ่างน้ำสาธารณะ) หรือการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีหูดข้าวสุก ซึ่งนับได้ว่าโรคนี้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วยเช่นกัน

การวินิจฉัยโรคหูดข้าวสุก

หากคุณสงสัยว่าจะเป็นโรคหูดข้าวสุก และทำการพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโรค ในเบื้องต้นแพทย์จะทำการซักประวัติและลักษณะอาการของโรคที่คุณกำลังเป็นอยู่ แล้วจึงเริ่มการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการร่วมด้วย เพื่อยืนยันผลการติดเชื้อไวรัสได้แม่นยำมากขึ้น ได้แก่

  • ตรวจบริเวณผิวหนังที่มีการติดเชื้อด้วยกล้องจุลทรรศน์
  • การขูดผิวหนัง และทำการเก็บตัวอย่างจากบริเวณรอยโรคไปตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ
  • หากพบว่ามีหูดข้าวสุกบริเวณอวัยวะเพศ อาจมีการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นๆ ด้วย

รักษาหูดข้าวสุก ทำได้อย่างไร?

ความจริงแล้ว ในผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดี คุณจะสามารถหายจากโรคหูดข้าวสุกได้เอง แม้ไม่ได้รับการรักษา ภายในครึ่งปีถึง 1 ปี แต่ร่างกายคนเรานั้น ก็ไม่อาจมองจากภายนอกอย่างเดียวได้ว่ามีความแข็งแรงแค่ไหน หากคุณไม่ได้รับการตรวจรักษา หูดข้าวสุกอาจจะยังคงอยู่ต่อเนื่องยาวนานกว่า 5 ปีเลยทีเดียว โดยการรักษาสามารถทำได้หลายวิธี หรือแพทย์อาจพิจารณาเลือกใช้หลายวิธีร่วมกัน ขึ้นอยู่กับขนาด จำนวน และตำแหน่งของหูดข้าวสุกที่เกิดขึ้น ดังวิธีต่อไปนี้

  • การใช้ยาทาที่มีฤทธิ์เป็นกรด เพื่อช่วยทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อ เช่น
    • ยาทาที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก
      • โพแทสเซียม ไฮดรอกไซด์
      • ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์
      • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์
  • การใช้ยาในรูปแบบเจล หรือครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์
    • ทาซาโรทีน
    • อะดาพาลีน
    • เตรติโนอิน
  • การจี้ด้วยความเย็น เป็นอีกรูปแบบของการใช้ไนโตรเจนเหลวที่มีความเย็นจัดในการทำลายหูด
  • การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ชนิดที่รักษาความผิดปกติของเส้นเลือดบนผิวหนังที่นิยมใช้

เพราะฉะนั้นการจะ รักษาหูดข้าวสุก ด้วยตัวเองจึงไม่ใช่สิ่งที่แพทย์แนะนำ เพราะอาจทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้ และมีความเสี่ยงต่อผิวหนังแสบ หรือระคายเคืองจากการรักษาผิดวิธี นอกจากนี้ หากไม่รู้ว่าติดเชื้อไวรัสใดกันแน่ การรักษาที่ไม่ตรงจุดจะทำให้เชื้อแพร่กระจายไปยังผู้อื่นโดยง่าย โดยขั้นตอนการรักษาและดูแลตัวเองในระหว่างที่เป็นหูดข้าวสุก ได้แก่

การดูแลตัวเองในระหว่างที่เป็นหูดข้าวสุก

  • งดเว้นการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น รวมไปถึงของใช้สาธารณะ อุปกรณ์กีฬา หรือการลงสระว่ายน้ำ อ่างอาบน้ำสาธารณะเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส
  • ควรหาพลาสเตอร์มาปิดตุ่มหูดข้าวสุก หรือสวมเสื้อปกคลุมให้มิดชิดเพื่อป้องกันการแกะเกาและลดโอกาสสัมผัสเชื้อโดยตรง เพราะหากมีการถลอกจากการแกะเกาจะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย บางรายอาจเผลอนำมาขยี้ตาทำให้รอบดวงตาเกิดการติดเชื้อเพิ่ม
  • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ระวังไม่ให้คู่นอนสัมผัสโดนบริเวณแผลหูด แต่หากมีหูดบริเวณใกล้อวัยวะเพศก็ควรงดเว้นไปก่อนจนกว่าจะทำการรักษาหายขาดแล้ว

ห่างไกลโรคหูดข้าวสุกด้วยการ …

  • ลดโอกาสในการรับเชื้อ ด้วยการไม่สัมผัสเชื้อ และดูแลตัวเองตามหลักสุขอนามัยพื้นฐาน
  • ของใช้ส่วนตัวก็ควรเก็บไว้ใช้คนเดียว เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ชุดชั้นใน ไม่ควรใช้ร่วมกัน
  • หมั่นล้างมือบ่อยๆ ให้สะอาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะหลังการจับสิ่งของสาธารณะ
  • หัดสังเกตคู่นอนของตนเอง หากพบว่ามีหูดข้าวสุกบริเวณใกล้อวัยวะเพศ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์

สุดท้ายนี้ โรคหูดข้าวสุก และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ด้วยพฤติกรรมของคนที่มีความเสี่ยงจะเป็นโรคนี้ มักเปลี่ยนคู่นอนบ่อย และมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยเป็นประจำ จึงทำให้มีโอกาสสัมผัสกับรอยโรคได้โดยตรง เพราะฉะนั้น การหัดสังเกตอาการ และรอยโรคพร้อมทั้งหมั่นไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ จะช่วยให้คุณรู้ทันโรค และทำการรักษาได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องเกิดความเสี่ยงที่เชื้อจะแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ครับ

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Similar Posts

  • หนองใน (Gonorrhea) | โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พบได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง

    หนองใน (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae ส่วนใหญ่ติดต่อกันผ่านทางเพศสัมพันโดยไม่ได้ป้องกัน อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ปัสสาวะแสบขัด หนองจากอวัยวะเพศ หรือมีตกขาวผิดปกติออกมาทางช่องคลอด หนองในสามารถพบได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้การติดเชื้อลุกลามหรือมีภาวะแทรกซ้อนได้ ซึ่งหนองในแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ การวินิจฉัยหนองใน หนองใน สามารถตรวจวินิจฉัยได้โดยการเก็บตัวอย่างปัสสาวะส่งเพาะเชื้อ แต่หากมีเพศสัมพันธ์ทางปากหรือมีอาการแสดงบริเวณช่องปากหรือลำคอ อาจเก็บตัวอย่างจากลำคอ หากมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักหรือมีอาการแสดงบริเวณทวารหนัก อาจเก็บตัวอย่างจากทวารหนัก หากมีอาการหนองในแสดงบริเวณอวัยวะเพศ อาจเก็บตัวอย่างจากปลายองคชาต หรือบริเวณปากมดลูก อาการหนองใน อาการในเพศชาย อาการในเพศหญิง การติดเชื้อทางทวารหนัก หนองในแท้และหนองในเทียม ต่างกันอย่างไร ? การป้องกันหนองใน การรักษาหนองใน หนองในสามารถรักษาได้ ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ รวมถึงใช้การรักษาอื่นๆควบคู่เพื่อบรรเทาอาการและลดภาวะแทรกซ้อนของโรค หากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเร็ว สามารถหายได้เร็ว แต่อาการความเสียหายของเนื้อเยื่อต้องใช้เวลาให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง สำหรับผู้ติดเชื้อหนองใน แพทย์จำเป็นต้องตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่อาจพบร่วมด้วย เช่น เอชไอวี(HIV), ซิฟิลิส(Syphilis) อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม ถึงแม้ว่า “หนองใน” จะสามารถรักษาได้…

  • | | | | |

    Undetectable แล้วไม่ป้องกันได้ไหม ปลอดภัยจริงไหม?

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิด หรือ “U=U” ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแพทย์และสาธารณสุข โดยคำว่า “Undetectable” หมายถึงการที่ปริมาณไวรัส HIV ในเลือดของผู้ติดเชื้อลดต่ำจนไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยการทดสอบมาตรฐาน ซึ่งเกิดจากการที่ผู้ติดเชื้อได้รับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัส (ART) อย่างสม่ำเสมอ แนวคิด U=U เป็นที่ยอมรับทางวิทยาศาสตร์ว่า ผู้ที่มีปริมาณไวรัส HIV ต่ำจนตรวจไม่พบ ไม่สามารถแพร่เชื้อให้คู่นอนผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้ อย่างไรก็ตาม คำถามที่หลายคนยังคงสงสัยคือ ถ้าไวรัสตรวจไม่พบแล้ว สามารถมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยได้ไหม และมันปลอดภัยจริงหรือ?

  • หนองในเทียมโรคร้ายที่ป้องกันได้

    หนองในเทียม อาจเป็นเรื้อรังและรักษาให้หายได้ยากกว่าโรคหนองในแท้ เนื่องจากส่วนใหญ่จะตรวจไม่พบเชื้อ ที่เป็นต้นเหตุ แต่สำหรับโรคหนองในเทียมที่เกิดจากเชื้อคลามัยเดีย (ซึ่งเกิดได้เป็นส่วนใหญ่) จะรักษาให้หายขาดได้ภายใน 14 วัน หากรับประทานยาที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด โรคหนองในเทียม คืออะไร โรคหนองในเทียม คือ การอักเสบของท่อปัสสาวะที่เกิดเชื้อโรคที่ไม่ใช่หนองในแท้ (Gonococcal Urethritis) สำหรับเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคหนองในเทียมได้แก่ สำหรับเชื้อที่เป็นสาเหตุของหนองในเทียมที่พบบ่อยที่สุดคือ Chlamydia trachomatis หรือ หนองในเทียม (Chlamydia) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเพศหญิง และเพศชาย  เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า  คลามัยเดีย ทราโคมาติส (Chlamydia Trachomatis)  ระยะฟักตัวของโรค หลังจากได้รับเชื้อมักจะ แสดงอาการภายใน 1-2 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้น สาเหตุของหนองในเทียม เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า คลามัยเดียทราโคมาติส (Chlamydia Trachomatis) จากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกันกับผู้ที่ติดเชื้อ เชื้อสามารถแพร่ติดต่อได้หลายทาง เช่น ทางอวัยวะเพศ ทางทวารหนัก ทางปาก หรือแม้กระทั่งทางตา หากมีสารคัดหลั่งจากร่างกายของผู้ติดเชื้อกระเด็นใส่ รวมไปถึงการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกในขณะตั้งครรภ์ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อหนองในเทียม อาการของหนองในเทียม อาการหนองในเทียมในผู้ชายมีอาการอย่างไร?…

  • ตรวจ STD ที่ไหนดี? รวมคลินิกและสถานที่ตรวจมาตรฐาน

    ในยุคที่เรื่องสุขภาพทางเพศเป็นสิ่งที่ทุกคนควรใส่ใจ “การตรวจ STD” หรือ การตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้คุณรู้เท่าทันสุขภาพของตนเอง ป้องกันการแพร่เชื้อ และรักษาได้ทันท่วงทีหากพบความผิดปกติ การตรวจไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่มีอาการ แต่เหมาะสำหรับทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือมีคู่นอนหลายคน ปัจจุบัน การตรวจ STD ไม่ได้ยุ่งยากหรือเป็นเรื่องน่าอายเหมือนในอดีตอีกต่อไป เพราะมีคลินิกเฉพาะทางและศูนย์บริการสุขภาพมากมายทั่วประเทศที่ให้บริการตรวจอย่างเป็นส่วนตัว ปลอดภัย และได้มาตรฐาน นอกจากนี้ยังมีระบบ จองตรวจออนไลน์ผ่าน Love2Test ที่ช่วยให้การ ตรวจ STD เป็นเรื่องง่าย รวดเร็ว และเป็นความลับ ตรวจ STD คืออะไร และสำคัญอย่างไร คำว่า STD (Sexually Transmitted Diseases) หมายถึง โรคที่ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก รวมถึงการสัมผัสของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่น หรือเลือด โรคเหล่านี้อาจไม่มีอาการชัดเจนในระยะเริ่มต้น แต่สามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว การตรวจ STD จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการเฝ้าระวังสุขภาพ เพราะช่วยให้ค้นพบการติดเชื้อตั้งแต่เนิ่น ๆ และเข้าสู่การรักษาได้เร็วที่สุด การรู้ผลเร็วไม่เพียงช่วยป้องกันการลุกลามของโรคเท่านั้น…

  • เคล็ดลับห่างไกลจาก โรค HPV

    โรค HPV มีเคล็ดลับในการป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อ ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพ ได้แก่ หูดที่อวัยวะเพศ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก และมะเร็งในช่องปาก เป็นต้น การป้องกันไม่ให้ติดเชื้อไวรัสเอชพีวีเกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีน การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ ในบทความนี้ เราจะอธิบายถึงมาตรการป้องกันเพื่อที่จะสามารถลดความเสี่ยงในการรับติด โรค HPV ได้อย่างมีประโยชน์สูงสุด

  • โรคหูดหงอนไก่ คืออะไร? รู้ไว้ ป้องกันได้!

    โรคหูดหงอนไก่ (Genital Warts) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ที่พบได้บ่อยและมีผลกระทบต่อทั้งผู้ชายและผู้หญิงทั่วโลก โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส Human Papillomavirus (HPV) ซึ่งสามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์หรือการสัมผัสโดยตรงกับบริเวณที่ติดเชื้อ โรคหูดหงอนไก่ถือเป็นปัญหาสำคัญด้านสุขภาพทางเพศ เพราะนอกจากจะก่อให้เกิดความไม่สบายกายและจิตใจแล้ว ยังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนบางชนิด เช่น มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งที่อวัยวะเพศในระยะยาว โรคหูดหงอนไก่ เกิดจากอะไร? โรคหูดหงอนไก่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV ซึ่งมีมากกว่า 200 สายพันธุ์ แต่มีเพียงบางสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ โดยส่วนใหญ่เกิดจากสายพันธุ์ HPV-6 และ HPV-11 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงต่ำต่อมะเร็ง อย่างไรก็ตาม บางสายพันธุ์ เช่น HPV-16 และ HPV-18 อาจทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก มะเร็งอวัยวะเพศ และมะเร็งบริเวณอื่นๆ ได้ในระยะยาว การแพร่กระจายของเชื้อ HPV HPV สามารถแพร่กระจายได้ง่ายผ่านทาง: อาการของโรคหูดหงอนไก่ อาการของโรคหูดหงอนไก่อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจไม่มีอาการใด ๆ แต่ยังคงสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ อาการที่พบบ่อย ได้แก่: การวินิจฉัย โรคหูดหงอนไก่ แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคหูดหงอนไก่ได้โดย: การรักษา…